ทางรอดสื่อเสรี เพื่อเด็กและครอบครัว
สถานีวิทยุเอฟเอ็ม 105
“กาลครั้งหนึ่ง…นานมาแล้ว…” เสียงใส ของน้องที่โทรมาเล่านิทานให้เพื่อนๆฟังในรายการจันทร์เจ้าขา ของเอฟเอ็ม 105 คลื่น เพื่อเยาวชนและครอบครัว จบลงพร้อมเสียงปรบมือของพี่ๆ ดีเจในรายการ
ปัจจุบันสื่อสำหรับเยาวชนและครอบครัวมีน้อย โดยเฉพาะวิทยุคนส่วนใหญ่คิดว่าสื่อวิทยุไม่ค่อยมีความน่าสนใจ เนื่องจากไม่มีภาพซึ่งจริงๆ แล้วการได้ใช้ทักษะในการฟังจะมีส่วนช่วยเสริมในเรื่องจิตนาการเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ซึ่งผลการสำรวจรายการวิทยุในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม 2550 โดยมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว พบว่ารายการวิทยุสำหรับเด็กและเยาวชน มีอยู่เพียงร้อยละ 1.45 และรายการวิทยุสำหรับครอบครัวมีสัดส่วนเพียง 0.80 ของรายการวิทยุทั้งหมด เท่านั้น
โครงการคลื่นวิทยุเพื่อเด็กและครอบครัว จึงเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายพื้นที่สื่อวิทยุสำหรับเด็กและครอบครัว โดยยึดหลักการสื่อสารสาธารณะคือปลอดจากการแทรกแซงทางการเมืองและผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว และชมรมวิทยุเพื่อเด็ก เยาวชนและครอบครัวโดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.)
นิติกาญจน์ รัตนสิทธิ์ ผู้ประสานงานรายการสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 105 บอกว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ารายการสำหรับเด็กคือผู้ใหญ่มานั่งจัดรายการให้เด็กฟังหรือการให้เด็กมีโอกาสมาจัดรายการวิทยุแต่ที่เราทำคือการจัดรายการสำหรับเด็ก โดยให้เขามีส่วนร่วมในรายการ ทั้งนี้รายการที่เราจัดขึ้นได้คำนึงถึงความแตกต่างของคนแต่ละช่วงวัยด้วย เช่น ในเด็กเล็ก 3-5 ปี ก็จะให้ความสำคัญในเรื่องของการเรียนรู้ พัฒนาการ จินตนาการ เราจึงมีรายการอย่าง “พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง” และ “จันทร์เจ้าขา” ซึ่งเกี่ยวกับนิทานซึ่งจะฝึกให้เด็กได้สร้างจินตนาการโดยมีการสอดแทรกจริยธรรมด้วย รายการ “รถด่วนขบวนเพลง ปู๊น ปู๊น” ซึ่งเป็นรายการเพลงสำหรับเด็ก มีการสอนน้องๆ ในเรื่องต่างๆและรายการ “ขบวนการล้านความคิด” ที่ได้ฝึกให้น้องๆ มาลับสมองกัน เป็นต้น
นอกจากรายการสำหรับเด็ก พี่เล็ก นิติกาญจน์ ยังบอกอีกว่า ยังมีรายการอื่นๆ สำหรับคนทุกวัยในครอบครัว อย่างรายการสถานีครอบครัว ที่ได้พยายามดูแลพื้นที่สีดำที่เกิดในสังคม ที่ผ่านมาเราได้ออกอากาศตอน “โคโยตี้ข้างถนน” และ “ร้านเหล้า” ไป ซึ่งได้มีส่วนสะท้อนสังคม และทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาจัดการกับปัญหาอย่างจริงจังมากขึ้น
ด้านนายวันชัย บุญประชา ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า คลื่นเพื่อเด็กและครอบครัวนี้ได้ออกอากาศครั้งแรกเมื่อ เมษายน 2552 โดยได้มีการพูดคุยกันว่าจะมีการทดลองออกอากาศ 6 เดือน และจาก 4 – 5 เดือนที่ผ่านมา เราก็พบว่ารายการได้การตอบรับอย่างดีเกินกว่าที่คาดไว้ แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าหลังจาก 6 เดือนไปแล้วรัฐบาลจะทำอย่างไรต่อ
“ผมอยากให้สื่อเพื่อเด็ก และครอบครัวเช่นนี้ต่อไปเพื่อจะได้เติมเต็มสังคม เพราะปัจจุบันเรามีพื้นที่ส่วนนี้น้อยมากในสังคมไทยและก็อยากให้ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญกับสื่อของเด็กและครอบครัว โดยจัดสรรเวลาในคลื่นวิทยุทั่วประเทศ ให้มีรายการส่งเสริมพัฒนาการเด็กและครอบครัว รัฐบาลน่าจะออกมาเป็นมติ ครม. ในการให้มีการจัดสรรคลื่นเพื่อสาธารณะเช่นนี้ ขยายสู่คลื่นอื่นๆ ของรัฐหรือกรมประชาสัมพันธ์ในต่างจังหวัด สำหรับมูลนิธิหรือองค์กรทำงานด้านเด็กและครอบครัวที่มีอยู่ ก็จะได้ช่วยในการจัดการด้านเนื้อหาและคุณภาพของผู้จัดรายการให้ได้มาตรฐานต่อไป” นายวันชัยกล่าว
พรพรรณ ชัยนาม หรือป้าพรรณ ดีเจรายการ รถด่วนขบวนเพลง ปู๊น ปู๊น บอกว่า ทำงานด้านสื่อกับเด็กมานานกว่า 10 ปี ได้เรียนรู้ว่าจริงๆ สื่อมีความสำคัญสำหรับเด็กอย่างยิ่ง และเด็กคือความบริสุทธิ์ เขาพร้อมจะรับทุกอย่างที่ได้รับ ได้เสพ ดังนั้นสื่อจึงมีส่วนสำคัญที่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เขา จะเห็นได้ว่าพัฒนาการของเด็กสมัยนี้มีความกล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าที่จะมีส่วนร่วมกับรายการอยากฝากถึงผู้มีบทบาทในสังคม รวมถึงทุกคนในสังคม ควรให้ความสำคัญกับเยาวชนและสถาบันครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านงบประมาณและทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน และที่สำคัญต้องมีการทำอย่างต่อเนื่อง
น้องกร ด.ช.ชากร เอี่ยมจันทร์ บอกว่า ชอบฟังรายการขบวนการล้านความคิด ซึ่งส่วนใหญ่จะได้ฟังรายการบนรถระหว่างนั่งกลับจากโรงเรียน ซึ่งในรายการจะสอนความรู้ต่างๆ รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนช่างสงสัย และช่างถามมากขึ้น และหากรายการมีคำถามแล้วคนตอบไม่ได้ ก็จะพยายามกลับไปค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม เช่น เข้าไปค้นในห้องสมุด หรือถามคุณครู เพราะอยากค้นหาคำตอบให้ได้
ด้านนางสิริพร จารุวงรีต ผู้ปกครองของน้องมินนี่ ซึ่งเป็นแฟนรายการของคลื่นวิทยุแห่งนี้ บอกว่า รายการของคลื่นนี้มีประโยชน์สำหรับเด็กมาก จะเห็นได้ชัดหลังจากที่ลูกได้เป็นแฟนรายการโดยจะนั่งฟังในรถหลังกลับจากโรงเรียนนั้น เขากลายเป็นเด็กที่พูดง่ายขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถสอนเขาผ่านรายการได้อีกด้วยหรือสอนผ่านมุมมองของเด็กคนอื่นๆ ที่โทรเข้าร่วมสนุกในรายการเขากลายเป็นเด็กที่กล้าคิด กล้าพูด และกล้าแสดงออกมาขึ้น
ทำอย่างไรสื่อที่ดีเช่นนี้จะอยู่กับสังคมไทยต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
Update: 29-09-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: อัญณิกา กฤษสมัย