ทวงถามหา “คลื่นสีขาว”
ชมรมวิทยุเด็กฯ จับมือ สสย. เปิดเวทีทวงถามหา “คลื่นสีขาว” ด้าน “นักวิชาการ” ส่ง 3 ข้อเสนอผลักดันสื่อน้ำดีในสังคมไทย ชี้ “รัฐมนตรีคุมสื่อ” ต้องไม่สุดขั้วทำงานบนทางสายกลาง ขณะที่ “รศ.จุมพล” เผยรายการทีวี ทำเด็กโตเกินวัย หวั่นเด็กไทยมีปัญหารับสารแบบผิด
เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. เวลา 09.30 น. ชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว ร่วมกับแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) และสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนา“ทวงถามหาคลื่นสีขาว…เพื่อเด็ก เยาวชน และครอบครัวจากพรรคการเมือง” ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.จุมพล รอดคำดี ผู้ก่อตั้งชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานครั้งนี้ว่า เพื่อดูนโยบายการบริหารงานด้านการสร้างสื่อสีขาวเพื่อเด็ก เยาวชน และครอบครัว ของแต่ละพรรคการเมือง ว่ามีแนวทางปฏิบัติอย่างไร แม้ว่าที่ผ่านมาสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์จะเริ่มให้ความสนใจทำสื่อเพื่อเด็กและครอบครัว แต่ยังถือว่าน้อยอยู่ ซึ่งหากปล่อยไว้เด็กไทยจะมีปัญหาเรื่องการรับสาร ยกตัวอย่างรายการสำหรับเด็กบางช่อง ที่ให้เด็กเป็นพิธีกร แต่เนื้อหากลับมาจากกรอบความคิดของผู้ใหญ่ เด็กจึงเกิดพฤติกรรมเลียนแบบผู้ใหญ่ ยัดเยียดให้เด็กโตเร็วขึ้น ดังนั้น ฝ่ายการเมืองควรมีนโยบายที่เป็นประโยชน์สำหรับเด็กและเยาวชน และผลักดันกฎหมายเรื่องสื่อสำหรับเด็กให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น
รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สสส. และนักวิชาการด้านสื่อสร้างสรรค์เด็ก กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคการเมืองให้ความสำคัญกับการปฏิรูปสื่ออยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่มองในภาพกว้าง พูดถึงการปฏิรูปกฎหมาย การจัดสรรสิทธิเสรีภาพสื่อ โดยละเลยเรื่องสื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชนไป ดังนั้น ตนขอเสนอ 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.การกำหนดสัดส่วนสื่อสำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว ให้ได้ 1 ใน 4 ของสื่อทั่วไป 2.ด้านคุณภาพของเนื้อหาสาระ โดยต้องบรรจุลงในนโยบายของพรรคการเมือง ว่าจะมีกลไกสนับสนุนให้เกิดการผลิตสื่อที่มีเนื้อหาสร้างสรรค์อย่างไร ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบกองทุนสนับสนุนสื่อสร้างสรรค์ หรือการจัดตั้งสถาบันวิจัยสื่อสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมคุณภาพ และ3.มิติด้านคุณภาพของผู้รับสื่อหรือผู้ใช้สื่อ อาจส่งเสริมให้บรรจุการรู้เท่าทันสื่อ ลงในหลักสูตรการเรียนการสอนทุกระดับ และกำหนดเป็นนโยบาย พร้อมๆ กับส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ทุกด้าน เช่น การส่งเสริมทักษะการอ่าน เพื่อต่อยอดในการใช้สื่อได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
“ทั้งนี้ การจะผลักดันสื่อสีขาว เพื่อเด็กและเยาวชน จะต้องไม่เป็นหน้าที่เฉพาะกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่จะต้องบูรณาการกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยอาจจะใช้รูปแบบคณะทำงานยุทธศาสตร์ ดูแลให้เกิดสื่อสร้างสรรค์อย่างแท้จริง ที่สำคัญรัฐมนตรีที่จะเข้ามาดูแลสื่อ จะต้องไม่มีมุมมองแบบสุดขั้ว คือจะต้องไม่ควบคุมสื่อจนเกินไป และไม่ควรให้อิสระสื่อเกินไปจนก่อให้เกิดผลกระทบกับเยาวชน แต่ต้องทำงานบนทางสายกลาง ส่งเสริมการเพิ่มขึ้นของสื่อน้ำดี และเปิดโอกาสให้มีสื่อทางเลือกที่หลากหลาย” รศ.ดร.วิลาสินี กล่าว
น.ส.เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) กล่าวว่า สื่อสำหรับเด็กและเยาวชนในไทยเมื่อเทียบกับสื่อสำหรับผู้ใหญ่ ยังถือว่ามีน้อยมาก สะท้อนว่ารัฐบาลยังให้ความสนใจสื่อสำหรับเด็กน้อย เพราะหากจะแก้ไขจริงๆ รัฐต้องยอมทุ่มทุนเพื่อสร้างสื่อสำหรับเด็กเหมือนประเทศอื่นๆ โดยให้การบริหารจัดการแยกจากธุรกิจอย่างสิ้นเชิง เพื่อป้องกันการแทรกแซง อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลได้เข้ามาสนับสนุนการเปิดคลื่นวิทยุเพื่อเด็กและเยาวชน ซึ่งถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลการสนับสนุนเรื่องนี้ยังจะมีอยู่หรือไม่ โดยหวังว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายปฏิรูปสื่อเกี่ยวกับเด็ก รวมถึงผลักดันให้มีกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนสื่อสร้างสรรค์ และมีการบริหารงานที่เป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของราชการ
ด้าน ดร.ธีรารัตน์ พันทวี ประธานชมรมวิทยุเด็ก เยาวชนและครอบครัว กล่าวถึงรายการวิทยุสำหรับเด็ก เยาวชนและครอบครัว ว่า ในปัจจุบันลดลงจากเดิมเป็นอย่างมาก และรายการเหล่านี้ไม่ได้รับความสนใจจากผู้สนับสนุน หรือสปอนเซอร์ และในที่สุดก็จะเป็นต้องยกเลิกไป ดังนั้น รายการวิทยุสำหรับเด็กจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ และในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง จึงเป็นโอกาสที่ดีในการสอบถามพรรคการเมือง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของประชาชน ก่อนไปลงคะแนนในวันที่ 3 ก.ค.นี้ โดยคาดหวังว่าจะเห็นรัฐบาลใหม่ออกกฎหมายให้สถานีวิทยุทุกแห่ง มีรายการวิทยุสำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มอยู่ไม่ถึง 1% ให้เพิ่มขึ้นเป็น 10%
น.ส.สุวรรณา สมบัติรักษาสุข ผู้จัดการสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเสวนาครั้งนี้กระตุ้นให้นักการเมืองเห็นความสำคัญในการปกป้อง ส่งเสริม สื่อวิทยุ และให้มีรายการดีๆ สำหรับเด็ก เยาวชนและครอบครัวให้เพิ่มมากขึ้น พร้อมย้ำว่าไม่ว่าพรรคใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ขอให้มีการลงทุนเพื่อส่งเสริมรายการวิทยุดีๆ ให้แก่สังคม
ที่มา : สำนักข่าว สสส.