ต้นแบบจัดการ ‘ไฟป่า-หมอกควัน’

ในช่วงนี้จนถึงเดือนพฤษภาคม ปัญหาไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือมักจะเป็นข่าวเกิดขึ้นประจำทุกปีเนื่องจากปัญหาหมอกควันได้ส่งผลกระทบในวงกว้างสร้างมลพิษทางอากาศที่ส่งผลต่อสุขภาพทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวทางภาคเหนือต้องหยุดชะงักและปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจนกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนในเมืองและคนบนดอย

จากปัญหาดังกล่าวมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงร่วมกันทำ “โครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบการจัดการทรัพยากรเพื่อป้องกันปัญหาไฟป่าและหมอกควันเชิงรุก” เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดเป็นนโยบายและแผนงานการจัดการปัญหาไฟป่าและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

เพราะปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เป็นปัญหาที่ซับซ้อน ถ้าจะแก้ไขต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนในการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของปัญหา โดยการกำหนดยุทธิศาสตร์ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้านบนพื้นฐานของข้อมูล ข้อเท็จจริง และองค์ความรู้ที่ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาของชุมชนและความรู้ในเชิงวิชาการ เพื่อลดทอนความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้น

ด้วยเหตุนี้ทาง “มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” จึงร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ จัดทำโครงการพัฒนาความร่วมมือการจัดการพื้นที่นิเวศน์ป่าอย่างมีส่วนร่วมเริ่มดำเนินงานในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ และ อุทยานแห่งชาติออพหลวงโดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ

บุญตา สืบประดิษฐ์ ผู้จัดการโครงการฯ บอกว่า โครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เกิดเครือข่ายในแก้ไขปัญหาไฟป่าหรือการจัดการพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์เล่าว่า ที่ผ่านมาปัญหาความขัดแย้งในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติเกิดขึ้นจากความเข้าใจของภารัฐกับชุมชนที่ไม่ตรงกัน รัฐไม่เข้าใจวิถีชีวิตของชาวบ้าน แล้วก็นำนโยบายหรือกฎระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับวิถีของชุมชนมาบังคับใช้ รวมถึงแนวทางการแก้ปัญหาในชุมชนมักจะมาจากบนสู่ล่าง ทำให้เกิดความขัดแย้ง

“ถ้าหน่วยงานของรัฐใช้หลักรัฐศาสตร์มากกว่าหลักนิติศาสตร์ ก็จะสามารถสร้างให้ชาวบ้านหรือชุมชนเกิดความเข้าใจได้ ที่สำคัญการแก้ปัญหาจะต้องเริ่มจากประชาชน โดยจะต้องสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นในชุมชน พูดถึงเหตุและผลให้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นมันได้สร้างปัญหาให้แก่เรา ถ้าเราร่วมมือกันก็จะเกิดประโยชน์กับชุมชน ทุกวันนี้ชาวบ้านก็จะร่วมกันทำแนวกันไฟ หรือถ้ามีไฟป่าเกิดขึ้นชาวบ้านก็จะไปร่วมกันดับไฟ อย่างที่หมู่บ้านขุนกลางไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเห็นเปลวไฟเกิดขึ้นในพื้นที่ ก็จะมีการประกาศเสียงตามสาย ทุกคนก็จะวิ่งไปช่วยกันดับไฟ”

ในส่วนของผู้พิทักษ์ป่า เกรียงศักดิ์ ถนอมพันธุ์หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์บอกว่า หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์บอกว่า ต้นตอของปัญหาความขัดแย้งเกิดจากความไม่เข้าใจระหว่างผู้รักษาและผู้ใช้คือชาวบ้านในเรื่องของการทำกินและการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ ทกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อแก้ไขปัญหา

“ทั้งกฎหมาย และข้อปฏิบัติต่างๆ เราควรจะใช้สภาพความเป็นจริงในการช่วยกันแก้ปัญหา คนที่อยู่ในพื้นที่หรืออยู่รอบๆ แนวเขตที่ต้องพึ่งพาอาศัยป่าเป็นแหล่งอาหาร แหล่งต้นน้ำลำธาร ก็ได้ใช้ประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยกันรักษา โดยสิ่งที่จะมาช่วยบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ดีที่สุด ก็คือ การมีส่วนร่วมระหว่างผุ้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด และการใช้ประโยชน์จากป่าจะต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน”

ทางด้าน เดโช ไชยทัพ ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่าจากการดำเนินงานที่ผ่านมาความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ เรื่องของความร่วมมือ โครงการนี้ได้ทำให้หลายๆ ฝ่ายที่ทำงานด้านนี้ได้มาพบเจอกันเกิดการประสานความร่วมมือกันทั้งในแง่ของความคิดและวิธีการปฏิบัติ                   

“การที่จะแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างยั่งยืน ชุมชนจะต้องเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการเพื่อลดปัญหาไฟป่าและหมอกควันมีการทำแผนร่วมกันระหว่างชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตควบคู่ไปกับการสำรวจแผนที่ทำกินให้ชัดเจน ก็จะทำให้ปัญหาการเผาเพื่อบุกรุกพื้นที่ป่าลดลง”

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Shares:
QR Code :
QR Code