ติวเข้มแม่ครัวโรงเรียน ชูเมนูสุขภาพต้านโรค
ปัญหาเด็กท้องเสียในโรงเรียนแก้ไขอย่างไรก็ไม่จบ ล่าสุดกับข่าวน่าตกใจที่เกิดกับเด็กนักเรียนกลางกรุง เมื่อเด็กโรงเรียนหอวังประมาณ 100 คนมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และบางรายถึงกับท้องเสียรุนแรงจนเป็นลม ต้องหามส่งโรงพยาบาล จากการสอบถามนักเรียนพบว่า กินอาหารกลางวันและน้ำดื่มของโรงเรียนที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าเสริมสุขภาพ (สสส.) บอกว่า เป็นเรื่องปกติกับโรงเรียนที่ไม่ใส่ใจหรือขาดความรู้ในเรื่องการดูแลโภชนาการอาหารของนักเรียน และเรื่องดังกล่าวนี้มักจะเกิดบ่อยตามโรงเรียนต่างๆ
“คำว่าอาหารปลอดภัยอยากให้มอง 2 มุม คือ เรื่องความปลอดภัยของอาหาร เพราะหากไม่ดูแลจะส่งผลให้ท้องเสีย อาเจียน เกิดจากการปนเปื้อน อาหารไม่สุก รวมทั้งเกิดจากเชื้อโรค บูดเน่า แมลงวันไปตอม มีพยาธิ มากับปุ๋ยที่ใส่ในผัก แม้ไม่ออกผลในขณะนี้ แต่อาจมีสิ่งตกค้างให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีอาหารปนสารเคมี ได้แก่ ตะกั่ว โลหะหนัก ที่เกิดจากยาฆ่าแมลง ก่อนปรุงอาหารทำความสะอาดไม่ดี เกิดการสะ สมเป็นโรคมะเร็งในอนาคต”
ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย (สสส.) บอกว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอีกอย่างหนึ่ง เพราะแม่ครัวขาดความรู้และไม่ชูในเรื่องสุขภาพ เพราะการทำอาหารให้นักเรียนนอกจากดูแลในเรื่องความสะอาดดังที่กล่าวมา จำเป็นจะต้องให้ได้ตามโภชนาการ คือ ต้องไม่ “หวาน มัน เค็ม” และอาหารจะต้องครบ 5 หมู่ โดยมีผักนำ รวมทั้งวิธีการปรุงต้องลดจำนวนการทอดและผัด เพราะวิธีการนี้จะทำให้อาหารมีไขมันมาก นำมาซึ่งโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ
นายสง่า กล่าวต่อว่า ส่วนอาหารกลางวันตามโรงเรียนอื่นๆ ภาพรวมก็น่าเป็นกังวล โดยเฉพาะเรื่องน้ำดื่มและขนมกรุบกรอบ มีความหวาน ความมันมาก ในบางโรงเรียนถึงขนาดมีตู้หยอดเหรียญเข้าไปให้บริการ ขณะที่นมโรงเรียนบางแห่งก็มีรสหวานมากไปโดยไร้สารอาหาร จึงอยากเสนอว่าควรให้นมจืดแก่เด็กดีที่สุด
“สำหรับแนวทางแก้ไข ภาครัฐจะต้องมีความจริงใจ ไม่ใช่วัวหายและล้อมคอกอย่างที่เป็นอยู่ พร้อมทั้งร่วมมือกับภาคีต่างๆ ที่ดูแลเรื่องนี้ร่วมกันทำงานเป็นทีม อีกทั้งต้องสร้างมาตรฐานแก่สังคมให้ตระหนักถึงอาหารสุขภาพที่เหมาะสมกับนักเรียน พร้อมทั้งอบรมแม่ครัวให้ทำอาหารที่มีคุณภาพ โดยมีการควบคุมดูแลจากโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอและเป็นระบบ” ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย (สสส.)กล่าว
นายสง่าบอกว่า ยังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพอาหารกลางวัน หลังพบว่างบประมาณอุดหนุนค่าอาหารกลางวันที่รัฐบาลส่งผ่านไปยัง อปท.ทั่วประเทศให้แก่เด็กคนละ 13 บาทต่อวันนั้นไม่เพียงพอ ซึ่งนักโภชนาการคำนวณออกมาแล้วว่า ใน 1 วัน เด็กควรจะได้รับประทานอาหารเมื่อตีเป็นมูลค่าออกมาแล้วควรจะเป็น 15-17 บาท ดังนั้นคุณภาพของอาหารจึงไม่มีคุณภาพ บางวันมีเศษหมู บางวันก็มีแต่ผักอย่างเดียว
เขาบอกว่า ข้อมูลที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ เด็กนักเรียนที่เรียนหนังสือในโรง เรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึก ษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรืออยู่ตามชนบท แม้จะได้รับ 13 บาทต่อหัว แต่ได้ไม่หมดทุกคน คือ ได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมดในเขตนั้นๆ
เมื่องบประมาณกระจายลงสู่ท้องถิ่น ทางโรงเรียนจะนำเงินมาเฉลี่ยเพื่อกระจายให้เด็กครบทุกคน ทำให้อาจจะเหลือเพียงแค่ 7 บาทต่อคนต่อวันเท่านั้น ท้องถิ่นบางแห่งเมื่อได้รับงบประมาณค่าอาหารกลางวันไปแล้ว ทั้งๆ ที่ได้ไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการประมูลแบบราชการ จัดซื้อจัดจ้างเหมือนซื้อวัสดุก่อสร้าง ถ้าแม่ค้ารายไหนให้ราคาต่ำที่สุด รายนั้นก็จะได้ทำอาหารให้เด็กกิน เด็กๆ ก็จะได้กินอาหารที่เหมาะสมกับราคา คือ อาจจะมื้อละไม่ถึง 8 บาท ที่สำคัญหากได้มาเต็ม 13 บาท ส่วนที่เหลืออีก 5 บาท หายไปไหน ถ้าใช้วิธีนี้ ต่อไปเด็กไทยโตไม่สมวัยแน่ๆ
ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สสส. กล่าวด้วยว่า ทางโครงการได้ขับเคลื่อนประเด็นนี้ด้วยว่าจะทำอย่างไรให้ อปท.นำเงินงบประมาณในท้องถิ่นไปเสริมกับโครงการอา หารกลางวันให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจจะให้ อปท.ที่เข้าร่วมกับโครงการเริ่มก่อนเป็น กลุ่มแรก จากนั้นก็ค่อยขยายต่อไปเรื่อยๆ ส่วน อปท.ไหนต้องการองค์ความรู้เกี่ยวกับการสร้างเสริมโภชนาการเด็กในชุมชนให้เติบโตสมวัยทาง สสส.พร้อมที่จะให้การสนับสนุนและเป็นพี่เลี้ยงในการดำเนินงาน
“อยากฝากถึงผู้บริหารประเทศและผู้บริหารท้องถิ่นทั้งหลาย ว่าเด็กไม่สามารถจะรออะไรได้อีกแล้ว เลือดของพวกเขาต้อง การธาตุเหล็กไปสร้างเม็ดเลือดแดง ต้องการแคลเซียมจากนมไปสร้างกระดูกให้เขาสูงใหญ่ เด็กต้องการโปรตีนจากไข่ เนื้อสัตว์ ปลา ถั่ว ไปสร้างความเจริญเติบโตของร่าง กาย เด็กๆ ต้องการสิ่งเหล่านี้ทุกวัน จึงเป็นเรื่องต้องรีบแก้ไข รอไม่ได้แล้ว” นายสง่ากล่าว
ในตอนท้ายอาจารย์สง่ายังได้แนะนำถึงอาหารที่เหมาะสมสำหรับวัยเรียน ที่เรียนหนัก หรือกำลังใกล้สอบว่า ถ้าอยากเพิ่มพลังสมอง เสริมประสิทธิภาพความจำ และทำให้มีสมาธิดี ควรกินอาหารเหล่านี้ครับ
1.อาหารที่มีวิตามินบี 1 เช่น ไข่แดง มันฝรั่งต้ม ถั่วลันเตา ข้าวซ้อมมือ
2.อาหารที่มีวิตามินบี 12 เช่น ไข่ไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว เป็ด
3.อาหารที่มีกรดโฟลิก เช่น ถั่วลิสง บร็อกโคลี กะหล่ำดอก ผักกาดหอม ปวยเล้ง
4.อาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับหมู ตับไก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ
5.อาหารที่มีธาตุไอโอดีน เช่น อาหารทะเล
6.อาหารที่มีธาตุแมงกานีส เช่น ถั่วเหลือง อัลมอนด์ แมคคาเดเมีย เมล็ดมะม่วงหิมพานต์
7.อาหารที่มีธาตุซิลิกอน เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม ธัญพืชต่างๆ
8.อาหารที่มีธาตุสังกะสีและซีลิ เนียม เช่น กระเทียม หอยนางรม หอยแมลงภู่
9.อาหารที่มีเบต้าแคโรทีนและโค เอนไซม์คิวเท็น เช่น แครอต ผักโขม มะม่วงสุก กล้วยไข่ บร็อกโคลี มันฝรั่ง
10.อาหารที่มีกรดไขมันโอเมกา 3 เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์