ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
แฟ้มภาพ
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบบ่อย 3 อันดับแรกในไทย และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะสามารถช่วยรักษาผู้ป่วยในระยะเริ่มแรกได้
ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวถึง "โครงการพัฒนาการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่หลากหลาย" ว่า ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ทรงมีพระเมตตาและพระกรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทย เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องทนทุกข์จากโรคมะเร็ง ทรงมุ่งหวังให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งการศึกษาวิจัยเพื่อค้นคว้าองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ควบคู่กับการส่งเสริมป้องกันมะเร็งเพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งมีโอกาสรอดชีวิต มีอายุยืนยาวขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงเปิด "โครงการพัฒนาการตรวจ คัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่หลากหลาย" ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ให้แก่ประชาชนอายุระหว่าง 50-70 ปี จำนวน 1,300 ราย โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตามพระปณิธานใน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
เนื่องจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอุบัติการณ์เป็นโรคมะเร็งที่ พบบ่อย 3 อันดับแรกในไทย และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มสูงขึ้นถึง 2.4 เท่า การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยให้ตรวจพบผู้ป่วยได้ในระยะเริ่มแรกซึ่งยังไม่มีการ แพร่กระจายได้มากขึ้น และเมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาตามมาตรฐาน จะมีผลการรักษาดีกว่าการรักษาในระยะแพร่กระจายเป็นอย่างมาก
ทำให้สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และประโยชน์อีกอย่างคือ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้จากการตรวจคัดกรองแล้วพบความผิดปกติในลำไส้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการ กลายเป็นมะเร็งและให้การรักษาที่เหมาะสม ก็จะลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งในผู้รับการตรวจและลดอุบัติการณ์โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์บัญชร ศิริพงศ์ปรีดาหัวหน้าโครงการฯ และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายประกันคุณภาพการศึกษา คณะแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข ได้กล่าวถึงประโยชน์ของโครงการดังกล่าวว่า เป็นโครงการศึกษาประสิทธิภาพของวิธีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี ทั้งการตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ ตรวจปัสสาวะ การตรวจทางรังสี การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และการส่องกล้องลำไส้ใหญ่
โดยในโครงการนี้จะมุ่ง กับการตรวจหลัก 2 วิธี คือการตรวจโดยใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่า CT Colonography และการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ หรือการทำ Colonoscopy ซึ่งจะมีการศึกษาควบคู่ไปกับวิธีการตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ ตรวจปัสสาวะ เพื่อหาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง และเหมาะสมกับประชากรที่จะมีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาความสัมพันธ์ของอาหารที่รับประทาน และแบคทีเรียในทางเดินอาหารที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลกับการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย โดยข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเหล่านี้จะถูกนำไปใช้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อช่วยในการตรวจคัดกรอง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่อไป