ดีกว่าไหมถ้าเราไม่สูบบุหรี่
“ป๊า…ถ้าป๊าไม่เลิก อย่าอยู่ในบ้าน ป๊าไม่ต้องขับรถให้ จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับแม่ 3 คนก็ได้…”
ครอบครัวของผม มีคุณพ่อกับคุณอาสูบบุหรี่ เนื่องจากว่าเมื่อก่อนมียุงเยอะ คุณพ่อกับคุณอาก็จะใช้ซิการ์จุดสูบ ผมเองเป็นเด็กก็เห็นเขาสูบ ถามว่าสูบแล้วเป็นอะไรไหม…เขาบอกสูบไม่เป็นอะไรไม่ติดหรอก เราก็ซึมซับมาตลอด แล้วพออายุ 20 ปี ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรพิษณุโลก ประมาณปี 2530 ก็ได้เจ้าสู้ระบบการสูบบุหรี่เป็นครั้งแรกในการรับน้อง ก็เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ฮิตสิ่งที่คนหมู่มากนิยม โดยเฉพาะรุ่นพี่…บอกว่าสูบเถอะ…ทุกคนสูบหมด เราก็เริ่มสูบกับเขา…ก็กระแอมกระไอ พอสูบไปได้ 2-3 อึดก็รู้สึกสบายขึ้น เริ่มหายเครียดครับ ตรงนั้นไม่ได้คิดเรื่องเลิกบุหรี่ คิดอย่างเดียวว่าเราจะเป็นแถวหน้าของรุ่นได้อย่างไร เราเพิ่มปริมาณการสูบจากวันละมวนเป็น 2 เป็น 3 เป็น 4 …ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเรียนจบวิทยาลัยสาธารณสุขเป็นเวลา 2 ปีตอนแรกที่สูบบุหรี่ตอนอยู่ที่วิทยาลัย คุณพ่อกับคุณแม่ คุณอาไม่ทราบว่าผมสูบบุหรี่ มาทราบก็ตอนรับราชการอยู่ที่อำเภอสบปราบ ผมซ่อนบุหรี่ไว้ใต้ที่นั่งรถมอเตอร์ไซค์ ท่านเปิดไปเจอ…ถามว่าผมติดไหม ผมบอกว่าสูบวันละ 5 มวน ท่านก็ขอว่าเลิกได้ไหม ผมก็บอกว่าเลิกได้…แต่ใจจริงแล้ว มันทวีคูณเป็น 2 เท่า เป็น 10 มวนเพิ่มเรื่อยๆ ตอนนั้นก็วิตกกังวล กลัวว่า จะมีความผิด เพราะในครอบครัวไม่มีการสูบบุหรี่ประจำ… ท่านเพียงแต่สูบต่อเมื่อเข้าห้องน้ำครั้งละอึกสองอึก เครียด…เครียดจากการทำงานไม่เท่าไหร่ แต่เจอคำถามจากคุณพ่อยิ่งเครียดไปกันใหญ่ เข้าใจว่าถามด้วยความห่วงใย อยากให้เราเลิก
ออกจากวิทยาลัยสูบวันละ 10 มวน พอกลับมาทำงานที่จังหวัดลำปางก็มาอยู่ที่ชุมชน…บ้านนอกน่ะครับ ก็มีการจัดเลี้ยงของชาวบ้านเฮฮาสังสรรค์กับเจ้าหน้าที่ ทุกครั้งที่มีการสังสรรค์จะมีการดื่มเหล้า จะมีวงพนัน ตรงนี้ที่สำคัญคือ…ไม่ว่าใครก็นั่งเล่นการพนันกันตั้งแต่ 6 โมงเย็นยันตี 5 สูบ 3 ซองครับ ถามว่าเลิกได้ไหม… คือ มันติดจนเป็นวิถีชีวิตหนึ่งของพวกเราไปแล้วครับ ก็สูบมาเรื่อยๆ จนมาทำงานที่อำเภอสบปราบ มาอยู่ อำเภอเมือง ก็ยิ่งเจอกันใหญ่ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีเจ้าหน้าที่ 115 คน ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ชาย เวลาเข้ากลุ่มก็จะมีสูบบุหรี่ดื่มเหล้า เล่นการพนัน ตรงนี้ทำให้เราไม่ลดบุหรี่…หนำซ้ำยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ยวันละซอง เมื่อก่อนบุหรี่ซองละ 18 บาท สูบมาเรื่อยๆ เป็น 22 บาท 25 บาท 30 บาท จนปี 2546 คิดว่าเราสูบไปก็มีอาการกระแอมกระไอ รู้สึกเจ็บคอ จนตอนเช้าจะไอแบบจะขาดใจตาย มีเสมหะสีเขียวข้นอยู่ ตลอดเวลาทุกๆ วัน เราก็เลยคิดอยากจะเลิกบุหรี่…เลยใช่วิธีหักดิบ เลิกไปประมาณ 12-13 วัน ทนไม่ไหว เนื่องจากเราไม่รู้วิธีการบำบัดวิธีการเลิก ก็หวนกลับมาสูบอีก อาการมันหงุดหงิด เปรี้ยวปาก รู้สึกว่าน้ำลายมันมาอออยู่เต็มปากไปหมด ต้องบ้วนน้ำลายทิ้งตลอดเวลา ที่ทนได้ 12 วันเพราะหนี…หนีจากความเป็นจริงทั้งหมด ทิ้งบุหรี่ ทิ้งไฟแชค ทิ้งเพื่อน งานประจำต่างๆ ผ่อนลง ไปเล่นกีฬามากขึ้น แต่ปัญหาคือเราต้องกลับมาทำงานตรงนี้ ต้องกลับมาหาสิ่งแวดล้อมเดิมๆ พอเราห่างจากที่สูบไปไม่นานเราก็รู้สึกมันมีกลิ่นหอมเวลามีคนมาสูบบุหรี่ใกล้ๆ เราก็หวนกลับไปสูบบุหรี่อีกเป็นครั้งที่ 2 จากปี 2546 จนถึงปี 2548 เป็นเวลา 2 ปี และสูบหนักขึ้นไปวันละประมาณ 1 ซองครับ ปรากฏว่าสุขภาพแย่ลง ขนาดตัวเองเป็นนักกีฬา ทั้งว่ายน้ำ บาสเก็ตบอล ก็ช่วยได้บางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด ตอนนั้นสุขภาพทรุดโทรมเนื่องจากทำงานหนัก และย้ายมาอยู่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง มารับผิดชอบเรื่องแผนงานโครงการ และงานอนามัยสิ่งแวดล้อม ก็ทำงานหนักขึ้นและเน้นเรื่องเข้าชุมชนเข้าไปอีก …ทำไมที่นี่แล้วมีปัญหาเรื่องเลิกบุหรี่ไม่ได้ เนื่องจากจะมีคนที่คอยอยู่ข้างๆ ที่ไม่ยอมให้เราหลุดพ้นไปจากบุหรี่
ผมเลิกบุหรี่อีกครั้งตอนปี 2548 ครั้งนี้เลิกได้ 3 เดือน เพราะเริ่มว่าง รู้สึกร่างกายทรุดโทรมไปจากเดิม แฟนสังเกตว่าทุกครั้งที่ผมนอนตอนกลางคืนจะไอแรง ไอเหมือนกระแทกแรงออกมา เขาบอกว่าไม่อยากให้ผมเป็นอะไรเพราะลูกยังเล็ก ขอให้ผมเลิกบุหรี่ แล้วก็อายุที่เพิ่มขึ้นด้วย ตอนนั้น 38 ปี การต่อสู้ยิ่งยากยิ่งทรมานกว่าครั้งแรก เนื่องจากเราไม่รู้ว่าเลิกแล้วจะมีอาการอย่างไร จะปรึกษาใครได้ เราก็ทำงานบนโต๊ะเล่นอินเตอร์เน็ตบ้าง ไม่สุงสิงกับคนข้างล่างที่สูบบุหรี่ เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ก็เพลินทำให้เราห่างบุหรี่แต่ก็ติดกาแฟมากขึ้น
อาการตอนเลิกใหม่ๆ จะหงุดหงิด เปรี้ยวปาก น้ำลายฟูมปาก แต่ที่สำคัญคือเสี้ยน…ขนจะลุกตั้งชัน คนรอบข้างจะรู้ว่าอยากบุหรี่อีกแล้ว เขาจะพูดว่า…อย่าเพิ่งลงไปสูบบุหรี่นะ อยู่ข้างบนนี้ก่อน ไปนั่งกินน้ำกินกาแฟดีกว่า เวลาสัก 2-3 นาที ความอยากมันก็หาย ทำให้เรารู้สึกว่า เราต้องตั้งมั่นกับอะไรสักอย่าง คือผมจะอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างเดียวเลย ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดีตลอด 3 เดือน จนมีจุดวิกฤตเกิดขึ้น…มีงานด่วนเข้ามาซึ่งต้องลงไปทำงานชุมชน เราโดนเป่าบุหรี่ใส่หน้า…ยิ่งกำลังใจยิ่งไม่มีอยู่ เราเลยกลับไปสูบเหมือนเดิม ตอนนั้นลูกคนโตอายุ 11 ขวบ เราก็ว่าผม…ว่าหนักเลยครับ เพราะผมมีกลิ่นติดตัวมาบนรถ
ส่วนคนที่ให้กำลังใจก็จะบอกว่า…คุณเลิกสูบได้ คุณน่าจะเลิกต่อไปเพื่อลูก แล้วถ้าเราเก็บเงินค่าบุหรี่วันละ 40 บาท เดือนละ 1,200 บาท ปีละ 14,000 บาท จะซื้อมอเตอร์ไซค์ โทรทัศน์ เครื่องคอมพิวเตอร์ให้ลูกได้เลยนะ เราก็ฉุกคิดนะครับ หักเงินวันละ 40 บาทค่าบุหรี่วันละซองใส่ออมสินให้ลูกได้จริงๆ ช่วงนั้นเป็นกำลังใจได้ดีครับ ให้ข้อคิดกับเรา
เดิมทีผมเป็นคนเช้าชู้…จีบไปเรื่องตั้งแต่พยาบาล ครู จนมาถึงคนสุดท้ายที่แต่งงานตอนประมาณปี 2540 เราบอกตัวเองว่า จะเลิกบุหรี่เพื่อไปจีบคนนี้ เขาก็เข้าใจว่าเราเพิ่งเลิกบุหรี่ยังมีกลิ่นปากอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ชอบถามว่าสูบบุหรี่ดื่มเหล้าไหม ผู้หญิงทุกคนจะถามตลอด เราก็บอกว่าดื่มนิดหน่อยแต่บุหรี่ไม่สูบแล้ว เวลาถูกถามเมื่อตอนหนุ่มๆ จะรู้สึกว่าทำไมเขาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องของเรา…มันเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นสิทธิส่วนบุคคลของเรา เราจะสูบไม่สูบก็เรื่องของเรา แต่ปรากฏว่าเราเริ่มจีบคนแรกคนที่สองก็เริ่มรู้สึกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ชอบคนสูบบุหรี่ครับ เรามีโอกาสจีบ…แต่เขาไม่สนใจเรา คิดจะเลิกบุหรี่แต่เลิกไม่ได้ แต่พอมาเจอคนที่ใช่เราก็ตัดสินใจเลิกเองครับ เพราะว่าเราแน่นอนแล้วว่าคนนี้ใช่คู่ชีวิต ถ้าเราสูบต่ออาจมีผลต่อลูกในท้อง แล้วมันก็จริงครับ เพราะลูกสาวสองคนน้ำหนักตอนแรกคลอดไม่ถึง 2,500กรัม ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข คนโต 2,450กรัม คนเล็ก 2,250กรัม
ที่ผมสูบบุหรี่ก็หนักครับ…วันละซอง แต่จะสูบที่สำนักงาน ไม่เอาบุหรี่กลับบ้านไปให้ครอบครัวเห็น แต่ลูกสังเกตเห็น พอเขาโตขึ้นเขาก็จะมาอยู่ใกล้ชิดกับเรา ให้เรากอด ให้เราอุ้ม กลิ่นบุหรี่ในตัวเราก็ไปหาเขา ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นบาปกรรมและเป็นตราบาปติดตัวลูก แรกเลยลูกเขาก็บอกว่าเหม็น ต่อมาเขาก็บอกว่าน่ารำคาญ เขาก็พูดตอนเราอุ้มเขาอยู่ เราก็หอมแก้มเขา เขาก็ไม่ชอบ เพราะเขาอยู่กัลป์คุณแม่คุณอาคุณป้า เขาไม่มีกลิ่นอย่างเรา พอเวลาเราอุ้มเขาเขาบ่นเหม็น ไปอยู่ไกลๆ ให้เราอยู่ห่างเขา ทั้งที่เรารักเขามาก…แต่เขาไม่ชอบเพราะเรามีกลิ่นตัวจากบุหรี่ เขาพูดเองไม่มีใครสอน เขาเคยพูดว่าผมต่อหน้าเพื่อนๆ ว่า “คนอื่นเขาไม่สูบเลยไม่เหม็น คนอื่นเขาไม่ว่าหรอ ขนาดหนูยังเหม็นเลย แล้วคนอื่นไม่ว่าเหรอ” เขาจะพูดตลอดไม่ว่าเวลาพิเศษหรือเวลาปกติ อย่างไปรับเขาที่โรงเรียนเขาก็จะบอกว่ารถเหม็นใช้น้ำยาปรับอากาศได้ไหม ซึ่งผมก็ไม่เคยสูบบนรถนะครับ ตอนนั้นลูกคนเล็กอยู่อนุบาล ประมาณ 5-6 ขวบ ส่วนคนโตประมาณ 9-10 ขวบ
พอมาอยู่ปี 2548-2550 ประมาณเดือนเมษายน ได้รับผิดชอบงานใหม่คืองานควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์…ตอนนั้นถ้าเรายังขืนเป็นอย่างนี้ เราไปคุยเรื่องกฎหมายบุหรี่โดยเฉพาะกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 ให้คนอื่นฟัง แต่ตนเองยังสูบบุหรี่ไปล่วงละเมิดสิทธิของคนอื่นเขา เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนข้างเคียงไม่ได้ ก็เป็นขุดที่ทำให้เลิกสูบบุหรี่อย่างจริงจัง จึงได้จัดสินใจเลิกเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งที่สำเร็จ ผมเขียนไว้ที่หน้ารถเลยว่า…เลิกบุหรี่แล้วเน้อ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2550 เป็นวันที่เปลี่ยนการรับผิดชอบงาน…ซึ่งผมก็เลิกบุหรี่แล้วและตั้งมั่นว่า เราเลิกแล้วเพราะรู้มาก่อนหน้าว่า ต้องรับผิดชอบงานนี้…ก็เอาวันที่รับโอนงานเป็นวันเลิกครับ
ผมใช้วิธีหักดิบ พอดีมีลูกสาว 2 คน ตอนนั้นคนโตอยู่ ป.5 คนเล็กอยู่อนุบาล 3 เขามาบอกว่า “ป๊า…ถ้าป๊าไม่เลิก อย่าอยู่ในบ้าน ป๊าไม่ต้องขับรถให้ จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับแม่ 3 คนก็ได้” เท่านั้นเอง…มันเหมือนตัดขาดเราจากครอบครัว เราก็ไม่สูบบุหรี่นับจากนั้นมาก็หักดิบเลย บุหรี่ที่ติดตัวเอาออกหมดไฟแชคด้วย แล้วพยายามหนีออกจากกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดท่านก็รู้ว่าเรายังสูบบุหรี่กินเหล้าในสถานที่ราชการ ท่านก็พยายามห้ามปราม…แต่เราก็ยังดื้อกัน ในปีงบประมาณ 2550 อาจารย์กรองจิตจากมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่เข้ามาเยี่ยมชมที่วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีลำปาง และอาจารย์ ดร.พัฒนา ซึ่งเป็นผู้ประสานงานได้เชื้อเชิญ เห็นว่าผมรับผิดชอบงานด้านนี้ก็อยากให้เข้าร่วม และได้ทราบว่าผมเลิกบุหรี่ได้อย่างน้อย 4 เดือน ก่อนอาจารย์กรองจิต จะเข้ามาก็อยากให้ผมเป็น model (ต้นแบบ) ให้คนข้างเคียงลด เลิก บุหรี่อย่างจริงจัง พอได้รับทราบข้อมูลจากอาจารย์เรื่องการะบวนการเลิกบุหรี่ การปรึกษาหรือการให้กำลังใจ ส่วนนี้แหละครับที่ทำให้มีกำลังใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ทำให้รู้ว่าคนข้างเคียงเขายังเป็นกำลังใจให้ ยังเป็นมิตรกับเรา ยังช่วยเหลือเรา และเรายังสามารถเป็นกำลังใจให้คนอื่นได้อีก หลังจากนั้นเราไปพยายามให้คนข้างเคียงเลิก ก็ปรากฏว่าในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ลำปาง มีคนสูบบุหรี่ 7 คน ผมสามารถพาให้คนเลิกได้ 2 คน เป็นพนักงานขัยรถ 1 คน และลูกจ้างประจำของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอีก 1 คน เขาก็ดีใจเพราะหลังจากเลิกสูบทำให้สุขภาพร่างกายเขาดีขึ้น รู้สึกหายใจได้มากขึ้น การไอในตอนเช้ามีเสมหะก็ลดลงไปเรื่อยๆ ครับ ส่วนนี่ก็อยากให้กำลังใจกับทุกคนว่าการเลิกบุหรี่ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่ง แต่ให้ใช้หลาย ๆ วิธีโดยพึ่งพิงครอบครัวเป็นหลัก ถ้าได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างที่ดีๆ การเลิกบุหรี่ก็เป็นสิ่งที่ง่ายและทำได้จริงครับ อย่าหวังพึ่งยาที่ช่วยเลิกบุหรี่ มันจะเป็นเพียงกระบวนการหนึ่ง ถ้าคุณยังไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอหรือยังไม่มีความคิดตั้งมั่นว่าอยากเลิก ผมรับประกันว่า ยากครับที่จะเลิก แต่ถ้าเราบอกเขาว่ามีคนรอบข้างที่มีความรู้คอยให้คำแนะนำชี้แนะในทางที่ถูก…ผมว่าง่ายครับ
พอเลิกบุหรี่ได้…เป็นคนที่คนรอบข้างยอมรับ เป็นแบบอย่างได้ ทุกครั้งที่ไปเป็นวิทยากรในชุมชน อย่างเรื่องงดเหล้าในงานศพ เขาจะถามว่า…หมอเลิกเหล้าแล้วหรอ…เลิกบุหรี่แล้วหรอ…จริงหรือเปล่า ผมจะบอกว่า เลิกหมดแล้ว เพื่อเขาจะได้เชื่อถือเรา เวลาเราพูดอะไรไปคนจะเชื่อมั่น…เราเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเขาได้ ส่วนครอบครัวก็มีความสุข…ลูกสาวยังเคยบอกว่าไม่น่าเชื่อเลยว่าเงินค่าเหล้าค่าบุหรี่ของป๊า…จะทำให้หนูมีเงินเป็นเลข 6 หลัก ลูกสาวดีใจบอกว่า “ป๊า…ตรงนี้เป็นผลพลอยได้นะ ป๊าเลิกได้หนูก็ได้เงิน”
รู้สึกมีความสุขมากขึ้น มั่นใจในตนเองมากขึ้น พร้อมที่จะเป็นแบบอย่างและกำลงใจให้คนอื่นๆ เพราะผ่านประสบการณ์ตรงนี้ถึง 3 ครั้ง ถามว่าตัวเองมีความกังวลมากแค่ไหนในแต่ละครั้ง…มากนะครับ คนที่เคยสูบบุหรี่จะรู้สึกว่าความยากของการเลิกบุหรี่มันอยู่ตรงไหน…เป็นจุดที่อยากถ่ายทอดให้คนที่จะเลิกสูบบุหรี่ต่อไป
สำหรับบุคลากรสาธารณสุข ผมอยากให้ท่านตระหนักว่า ท่าเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นแบบอย่างให้กับคนในสังคม ในชุมชนที่ท่านทำงานอยู่ ถ้าท่านยังสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า แล้วท่านจะให้คนอื่นเขาเชื่อมั่น ให้เขาปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำได้อย่างไร ผมบอกได้เลยว่า ถ้ายังสูบบุหรี่อยู่ ประชาชนไม่มีทางนับถือ เชื่อถือ ศรัทธา ท่านแน่นอน การทำงานกับชุมชนต้องใช้หลัก 3 ข้อ คือ ข้อมูล ศรัทธา และ อำนาจ จากการที่ชาวบ้านขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องเลิกบุหรี่ วิธีการเลิกหรือพิษภัยบุหรี่ เราต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมความรู้อย่างจริงจัง สองคือศรัทธา เราต้องเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา จากนั้นเราก็ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย กฎระเบียบกำกับดูแลเรื่องการไม่สูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะ ต้องใช้ประกอบกัน 3 ส่วน
ฝากถึงน้องๆ เยาวชน…ต้องบอกก่อนว่าเป็นสิ่งไม่ดี พี่เองลองมาหมดแล้ว อย่าไปลอง ถ้าอยากลองต้องถามตัวเองก่อว่า…น้องหาเงินเองได้หรือยัง…ก่อนจะมาสูบบุหรี่น้องมีภาระอื่นที่ต้องไปดูแล…พ่อแม่ครอบครัวน้องช่วยเหลือได้พร้อมหมดหรือยัง…น้องจะเอาเงินไปสูบบุหรี่ไปเผาปอดเผาชีวิตตัวเองทำไม ดีกว่าไหมถ้าเราไม่สูบบุหรี่
อย่าใช้คำว่า…ถ้าไม่สูบบุหรี่จะเข้าชุมชนไม่ได้…อย่าบอกว่าเราจะเข้ากับเขาไม่ได้ จะโดนตีตัวออกห่าง มันอยู่ที่ตัวของท่าน ผมสังเกตดูคนไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า จะได้รับการเชิดชูยินดีมากกว่า ตัวเองเป็นสำคัญในการที่จะชี้นำให้คนในสังคม ในชุมชนเลิกได้ เป็นแบบอย่าง ต่อไปให้คิดว่าเราเลิกหนึ่งคนแล้ว เราชวนคนอื่นเลิกต่อไป ครอบครัวของเขาก็จะอยู่ดีขึ้น เราบอกว่าเรื่องสุขภาพ…เราจะสร้างนำซ่อม แต่ถ้าท่านซ่อมนำสร้าง…ท่านก็จะเหนื่อยอยู่ตลอดไป
ที่มา : มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่