ชู 3 รูปแบบกิจกรรมทางกาย “เด็กไทย รับชีวิตวิถีใหม่”
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
แฟ้มภาพ
สถานการณ์ "เด็กไทย" กำลังขาดกิจกรรมทางกายอย่างน่าเป็นห่วง หนุนเพิ่มกิจกรรมทางกาย "เด็กไทย รับชีวิตวิถีใหม่ เล่นสนุกผ่อนคลาย-เสริมทักษะ-ความแข็งแรง
ไม่ต้องเอ่ยอ้างเหตุเพราะถูก "กักตัว" หรือ "เรียนออนไลน์" หรือถูกจำกัดให้อยู่แต่กับบ้าน เพราะความจริงแล้ว สถานการณ์ "เด็กไทย" กำลังขาดกิจกรรมทางกายอย่างน่าเป็นห่วงติดต่อกันมาหลายปีแล้ว
ในเรื่องนี้ ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศาหัวหน้าศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูล ในงานเสวนา เจาะลึกเรื่องกิจกรรมทางกาย ของเด็กไทย บนชีวิตวิถีใหม่ ซึ่งจัดขึ้น ในงาน "New Normal for Thai Children ชีวิตวิถีใหม่ของเด็กไทย" ภายใต้โครงการกิจกรรมส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายกลุ่มวัยเด็กในสถานศึกษา (Active Play Active School) ซึ่งจัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เผยว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ต่างใช้เวลาหน้าจอเฉลี่ย 3.1 ชั่วโมงต่อวัน และขาดกิจกรรมทางกายมากอยู่แล้ว แต่เพราะวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้น ก็ดูเหมือนยิ่งทำให้เด็กไทย "เนือยนิ่ง" มากยิ่งขึ้นไปอีก"องค์การอนามัยโลก แนะนำให้เด็กทุกคน ที่อายุแรกเกิดถึง 17 ปี ควรมีกิจกรรม ทางกายอย่างน้อย วันละ 1 ชั่วโมง ส่วนในวัยผู้ใหญ่สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 150 นาที แต่จากการสำรวจข้อมูลของเราตลอด 9 ปีที่ผ่านมา กลับพบว่าประชากร
วัยเด็กของไทยมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอไม่ถึง 30%
"ตอนแรกเราคิดว่าเด็กชนบท จะมีโอกาสได้กิจกรรมทางกายมากกว่าเด็กในเมือง แต่เมื่อทำการสำรวจ ตอนนี้
เด็กต่างจังหวัดกับเด็กในเมือง เราไม่ค่อยพบ ความแตกต่าง เพราะเด็กติดมือถือ ติดจอเหมือนกัน และเข้าร้านเกม
จริงๆ เราไม่ห้ามไม่ให้เด็กเล่นมือถือ หรือเล่นอินเทอร์เน็ต ช่วงเวลาที่อนุญาตให้เด็กใช้ได้เพื่อความบันเทิง ไม่ควรเกิน สองชั่วโมงต่อวัน ไม่อย่างนั้น จะมีปัญหากับสมาธิและสมอง เด็กจะสมาธิสั้น หรือ เด็กที่ต่ำกว่าอายุ 3 ขวบ ตาดำจะกลมช้าหรือไม่โตเต็มที่ ทำให้การกะระยะต่างๆ เขาจะทำไม่ได้"
ซึ่งในช่วงของสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งพบว่าสถานการณ์ขยับเขยื้อนตัวของ เด็กไทยยิ่งแย่ลง เพราะลดลงจากสถิติ ปี 2562 ที่พบว่ามีเพียง 26.1% เหลือ เพียง 16-17% หรือน้อยลงไปถึง 10%
"จริงๆ การเว้นระยะห่างไม่ได้ทำให้ มีกิจกรรมทางกายน้อยลง แต่การไปไหน ไม่ได้ที่อาจเป็นข้อจำกัด"
ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เอ่ยว่า ถ้าไม่ได้เล่นครบ 60 นาทีทุกวัน ก็ให้เฉลี่ยได้ โดยต้องเฉลี่ยแล้วไม่ควรต่ำกว่า 420 นาทีต่อสัปดาห์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเล่นแต่ละครั้ง ถ้าน้อยเกินกว่า 30 นาทีไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากนี้อย่างน้อย 90 นาทีควรเป็นกิจกรรมสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อ หรือการออกกำลังกายจนเขารู้สึกเหนื่อยหอบ เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้รับ Growth Hormone มากขึ้นหรือได้รับการกระตุ้นได้เต็มที่"
แล้วอะไรที่เรียกกว่ากิจกรรมทางกาย ?
กิจกรรมทางกาย คือการเล่นหรือเคลื่อนไหวร่างกายที่ต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อเสริมความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแบบแอโรบิค ในระดับปานกลางถึงหนัก
มาฟังข้อมูลด้านวิชาการ โดย รศ.ดร. ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ช่วยเสริมความรู้ง่ายๆ ว่าการเล่นหรือกิจกรรมทางกายมีส่วนต่อพัฒนาการและสมองอย่างไร เพื่อให้เราเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไม แค่เด็กไม่ออกกำลังกายหรือขยับตัวถึงเป็นเรื่องใหญ่โต
"จากการศึกษาด้านสมอง พบว่า มนุษย์เรา พอได้มีการเคลื่อนไหวขยับร่างกาย เล่นหรือออกกำลังกายแล้ว จะทำให้แนวโน้มของสมองส่วนเปลือก ที่เป็นตัวทำงาน ด้านการส่งเสริมความจำหนาขึ้น ซึ่งทำให้เรามีที่เก็บคลังการเรียนรู้เยอะขึ้น จดจำได้มากขึ้น"
เมื่อวิจัยบอกว่าเด็กที่เล่นจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก แต่หลายคนอาจตั้งคำถามว่า แล้วทำไมคนที่ เป็นนักกีฬาส่วนใหญ่ถึงไม่ใช่เด็กเรียนเก่งหรือได้ที่หนึ่ง คำตอบอยู่ตรงนี้
"นั่นเพราะความเครียดมีพอผลต่อการเรียนรู้ บางคนเล่นออกกำลังจริง แต่เขา ไม่อ่านหนังสือ หรือบางคนเล่นแล้วเหนื่อยเกินไป พอจะอ่านหนังสือก็ล้าแล้ว ดังนั้น เราจำเป็นต้องเล่นอย่างพอเหมาะ คนเราพอเหนื่อย พอเครียดปุ๊บ สมาธิและความอยาก การเรียนรู้หาย" รศ.ดร.ยศชนัน กล่าว และเอ่ยต่อว่าเมื่อคนเราพอเนือยนิ่ง เลือดก็ ไม่สูบฉีดไปเลี้ยงสมอง สมองก็ไม่สดใส มีอาการเนือยนิ่งตาม เพราะไม่ได้เคลื่อนไหว รวมถึงสมองระแวดระวัง การคิดก็ไม่ได้รับการฝึกฝนไปด้วย
จากงานวิจัยแปลงสู่คู่มือ
"แต่โชคดีที่ในการวิจัย เรายังพบ เด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 11.6% เขากลับสามารถมีกิจกรรมทางกายมากขึ้น" ผศ.ดร.ปิยวัฒน์เอ่ย "เราจึงอยากทราบว่า 11.6% ที่มีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นนี้ เขามี เพราะอะไร จึงทำวิจัยเป็นระยะเวลา 3 ปีภายใต้โครงการ "โรงเรียนฉลาดเล่น" ก็พบว่ามีปัจจัยสามประการ"
หนึ่งคือการเล่นหรือกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่เขารู้สึกสนุก สอง เล่นไปด้วยเรียนไปด้วย และสาม คือการเล่นแบบ Active Play ซึ่งปัญหาคือส่วนใหญ่คือ ผู้ปกครองไม่รู้วิธี กังวลว่าลูกเรียนไม่ทัน ลูกติดเกม ไม่มีคนดูแลลูกหรือไม่รู้จะดูแลลูกอย่างไร เราจึงนำโจทย์เหล่านั้นมาทำเครื่องมืออีกตัวหนึ่ง เรียกว่า คู่มือส่งเสริมการเรียนรู้สามมิติ ที่ต้องประกอบด้วย สามองค์ประกอบหลักคือ "เล่น เรียน และรู้"
ซึ่งเฉพาะในหมวดเรื่องเล่น ผศ.ดร. ปิยวัฒน์บอกว่า มี 3 ประเภท คือ ต้องเล่นแล้วอารมณ์ดี ต้องทักษะดี และแข็งแรงดี
"คู่มือที่เราออกแบบมาชุดนี้จึงเน้น การออกแบบเน้นในเรื่องการเล่นในบ้าน เพราะต่อไปนี้บ้านจะเป็นฐานการเล่นมากขึ้น โดยไม่ต้องคาดหวังหรือรอให้สวนสาธารณะเปิดแล้วค่อยออกไปเล่นข้างนอก"
เหตุที่ต้องมีคู่มือ เพราะต้องยอมรับว่า ผู้ปกครองหลายรายไม่มีทักษะครูเฉพาะกิจ สอนลูกแล้วก็อารมณ์เสีย คู่มือจึงมีคำแนะนำให้กับผู้ปกครอง รวมถึงการจัดโซนกิจกรรมให้เด็ก ออกแบบ เป็นการแปลงจากการวิจัยออกมาเป็นรูปธรรม
โดยคู่มือตารางสามมิติยังครอบคลุมทั้งกิจกรรมการกิน การพักผ่อนและ การนอนว่ามีความเหมาะสมในช่วงไหน และเหมาะกับพัฒนาการและการเติบโตของเด็กมากที่สุด
"ยกตัวอย่างเช่น หลายคนเข้าใจผิดว่าเด็กตื่นมาแล้วสมองดีสุด ยังมีช่วงเนือยอยู่ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ มันต้องมีการวอร์ม ให้พร้อมสำหรับการเรียนรู้ เมื่อเราใส่เข้าไปก็จะเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงมีตารางการเล่น เทคนิคของตารางนี้คือเด็กและผู้ปกครอง ได้มีเครื่องมือสื่อสารกันและกัน"
ส่วนการเรียน ผศ.ดร.ปิยวัฒน์เอ่ยว่า ถ้าในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่จำเป็นต้องให้
เรียนเยอะ วันละ 3-4 ชั่วโมงก็น่าจะเพียงพอ
"ดังนั้นเราจึงต้องหาช่วงเวลาทองที่เรียนแล้วจะทำให้เกิดการเรียนรู้ดี จดจำได้ดีซึ่งจะสอดคล้องกับที่เราทำวิจัยว่าพ่อแม่เด็ก (ในช่วงโควิด) มีเวลาดูแลเด็กแค่วันละ 2-4 ชั่วโมง เราจึงจับคู่ตรงนี้เพื่อให้เด็ก ได้เรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้"
พื้นที่ไม่ใช่ข้อจำกัด
ณัฐนรี กระบวนรัตน์ อาจารย์จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวและสุขภาพ คณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ให้คำแนะนำในด้านการออกแบบกิจกรรมการเล่น หรือกิจกรรมทางกาย แก่พ่อแม่หรือผู้ปกครองว่า
"พื้นที่จำกัดก็ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ อาจเป็นการส่งเสริมการเล่นอิสระ ปล่อยให้ เด็กเล่นกับจินตนาการจึงไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก ส่วน Active Play คือการเล่นที่ส่งเสริมการพัฒนาการ ตรงนี้คุณพ่อคุณแม่ ต้องจัดให้ลูก เช่น คุณพ่อคุณแม่อาจจำลองสถานการณ์ ส่วนกิจกรรมการออกกำลังหรือ เล่นกีฬา เราต้องเข้าใจพัฒนาการแต่ละช่วงวัยของเขาก่อน เช่นเด็กเล็ก เขาสื่อสาร เรียนรู้ผ่านการสัมผัส การบีบปั้น การจับสิ่งของต่างๆ ช่วงต่อมาการฝึกความสมดุลอย่างร่างกาย
เช่นฝึกเดินที่ถูกต้อง เหล่านี้ สามารถฝึกผ่านกิจกรรมการเล่นได้ หรือแม้แต่กิจกรรมตาราง 9 ช่อง ฝึกการเคลื่อนไหวมิติหน้าหลัง แยกซ้ายขวาเรา ตั้งโจทย์ให้ลูกได้ เพราะฉะนั้นพื้นที่ไม่ใช่ ข้อจำกัดเลยถ้าคุณพ่อแม่ทำความเข้าใจ"
ที่สำคัญไม่ว่าจะออกแบบอะไร ต้องให้ "ลูก" มีส่วนร่วมในการช่วยคิดกิจกรรม ก็จะทำให้เขาสนุกและยินดีที่จะเล่น
"ประเทศไทยเราไม่ได้โชคดีที่มี ความร้อนมาช่วยฆ่าเชื้อโควิด แต่ยังพื้นที่กว้างให้วิ่งเล่นรอบบ้านให้ออกไปเล่นได้อย่างปลอดภัย ทำให้เราไม่ค่อยมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ส่วนน้อง ๆ ในเมือง มันขึ้นอยู่ที่ การดีไซน์ ได้หลากหลายแบบ จริงๆ กิจกรรม ทางกายไม่ได้เป็นแค่กีฬาอย่างเดียว แม้แต่หน้าจอก็ชวนเรามีกิจกรรมทางกายได้ เช่นแอพลิเคชันติ๊กต่อก" ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ ช่วยเสริม
พร้อมยังยกตัวอย่าง กิจกรรมวัฒนธรรมการละเล่นพื้นบ้านของไทย เป็นกิจกรรมเสริมสมาธิ ฝึกสมอง กระตุ้นทุกส่วนของประสาทและพัฒนาการทางกาย ไม่ว่าจะเป็น การมอง การได้ยิน การมอง การสัมผัส "ดังนั้น ถ้าผู้ปกครองคิดไม่ออกจะชวนลูกเล่นอะไร ลองกลับไปดูกิจกรรมที่เราเคยเล่นเคยทำมาก็ได้ ซึ่งแทบไม่ต้องใช้เงิน"
จัด 'เรียน' กับ 'เล่น' อย่างไรให้สมดุล
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและสมอง รศ.ดร. ยศชนัน ยกตัวอย่างว่า หากเราจัดเวลาการเรียนตลอด 5 ชั่วโมง เราจะไม่ได้มีสมาธิการเรียนตลอดเวลา เราเอาช่วงเวลาที่เรามีสมาธิน้อย ๆ หรือ เริ่มล้านั่นแหละมาทำกิจกรรมทางกาย อย่างเช่นในคู่มือฯ เราส่งเสริมให้เด็กเล่นช่วงบ่ายสอง เพราะเป็นช่วงที่เราจะ ง่วงสุดๆ โรงเรียนควรแบ่งซอยกิจกรรม เป็นกิจกรรมย่อย
"บางคนอาจมองว่าคิดเลขไม่เร็ว ต้องฝึกเลขทุกวัน หรือเด็กไม่มีสมาธิก็ให้เด็กฝึกอ่านให้นานขึ้น ซึ่งมีโอกาสที่เด็กจะเกิดการต่อต้าน แต่จริงๆ กลไกสมองจะทำแบบนี้ได้ไม่จำเป็นต้องทำวิธีแบบนี้อย่างเดียวในอดีต เด็กไทยได้มีกิจกรรมทางกายเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นหมากเก็บ กระโดดหนังยาง กิจกรรมเหล่านี้ทำให้เราเกิดสมาธิ พอเรา ไปเรียนทำให้เราโฟกัสได้ว่าเราเคยมีสมาธิด้วยวิธีแบบนี้ เป็นการฝึกสมาธิให้บุตรหลาน เขาต้องแฮปปี้"
อย่างไรก็ดี เมื่อเรียนแล้วกลับมาบ้านแล้ว ผู้ปกครองควรจัดกิจกรรมทางกายให้เด็กด้วย เพราะปัจจุบันในโรงเรียนเวลาที่เด็กใช้ชีวิตอาจมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอตามที่ องค์การอนามัยโลกระบุ
"ถ้าคิดอะไรไม่ออก ให้คิดว่าเด็กทุกคนชอบเล่นหมด เราต้องให้การเล่นสร้าง การเรียนรู้" ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เอ่ยสรุป
สามารถดาวน์โหลดคู่มือฯ ได้ที่ thaihealth.or.th/Books/642/ชุดคู่มือส่งเสริม+ การเรียนรู้+3+มิติ+เล่น-เรียน-รู้+.html