ชู 3 มาตรการตั้งรับไวรัสโคโรน่า

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ


ชู 3 มาตรการตั้งรับไวรัสโคโรน่า thaihealth


เเฟ้มภาพ


ทุกประเทศและทุกฝ่ายต้องช่วยกันรับมือกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโรคปอดบวมอู่ฮั่นที่มีการแพร่ระบาดอยู่ในหลายประเทศ และยอดผู้เสียชีวิตยอดผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกวัน


ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานกับทุกกระทรวง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการรับมือไวรัสโคโรนาระบาดตามมาตรฐานทางการแพทย์ หลักการควบคุมโรคและสากล กลุ่มคณะแพทยศาสตร์ 23 สถาบัน เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ต้องกำหนดนโยบายในการรับมือกับไวรัสโคโรนา เพราะนอกจากเป็นสถาบันการผลิตแพทย์แล้ว ยังมีโรงพยาบาลในสังกัด อย่าง โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ หรือโรงพยาบาลสวนดอก เป็นโรงพยาบาลในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หน่วยหลักในการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวในเขตภาคเหนือ


ศ.นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่าจ.เชียงใหม่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเมื่อมีการประกาศจากจีนว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ก็ได้มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาคัดกรอง คณะแพทยศาสตร์ มช.ซึ่งมีโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้มีการกำหนดวางมาตรการ นโยบายตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอยู่แล้ว โดยเริ่มตั้งแต่การคัดกรองผู้ป่วย เตรียมพร้อมบุคลากร เจ้าหน้าที่ในการดูแล คัดกรอง ตรวจสอบผู้ป่วยที่มีอาการ หรือมีความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เดินทางมาจากประเทศจีน


ตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสโคโรนาโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ได้ดำเนินการคัดกรองไปแล้ว 30 กว่าราย โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน และมีผู้ที่ติดเชื้อ 1 ราย เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนอายุ 28 ปี ขณะนี้อาการดีขึ้นแล้วคาดว่าจะสามารถกลับบ้านได้เร็วๆ นี้ เมื่อมีการระบาดของไวรัสโคโรนา โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ได้กำหนดจุดเข้าออก มีการคัดกรองผู้ป่วยทุกคน มีการเตรียมพร้อมบุคลากรทางการ เจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญร่วมคัดกรอง จำนวนกว่า 500 คน มีบริการเจลล้างมือแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย และให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลตัวเองรับมือกับไวรัสโคโรนา


ศ.นพ.บรรณกิจ เล่าต่อว่าหลังจากที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้มีการยกระดับการควบคุมการระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ไว้ 3 แนวทาง คือ


1.มีการกำหนดจุดเข้าออก และจัดให้มีการใช้เครื่องเทอร์โมสแกนติดตั้งทุกจุดคัดกรอง เบื้องต้นได้มีทั้งหมด 8 เครื่อง ทุกจุดจะมีเจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญคอยผลัดเปลี่ยนเวร์มาดูแล คัดกรองผู้ป่วยว่ามีข้อบ่งชี้ อาการหรือไม่อย่างไร รวมถึงมีการให้บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากอนามัยแก่ทุกคน


2.โรงพยาบาลได้มีการจัดพื้นที่คัดกรองออกอย่างชัดเจนสำหรับคนไข้ที่มีความเสี่ยง โดยจัดแบ่งคนไข้ที่มีความเสี่ยงไว้ 3 ระดับ ดังนี้ คนไข้ที่มีความเสี่ยงสูง คือ มีไข้ มีอาการหวัด มีประวัติชัดเจนว่าพึ่งเดินทางกลับมาจากเมืองอู่ฮั่น หรือประเทศจีน และได้มีการสัมผัสกับคนจีน ความเสียงระดับกลาง จะเป็นกลุ่มที่มีอาการป่วย เดินทางมาจากประเทศจีน แต่ไม่ได้มีการสัมผัสคนจีน ความเสี่ยงระดับต่ำ ไม่มีประวัติเดินทางมาจากจีนแต่มีอาการไข้ มีอาการหวัด ซึ่งการคัดแยกดังกล่าวจะเป็นการรักษาผู้ป่วยตามอาการได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นการป้องกันไม่ทำให้เกิดการกระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา และแพทย์พยาบาลสามารถดูแลผู้ป่วยในแต่ละกลุ่มเสี่ยงได้อย่างเต็มที่ เพราะผู้ป่วยในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แพทย์ พยาบาลต้องใส่ชุด และอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันเต็มรูปแบบ เพื่อไม่ให้ติดเชื้อจากผู้ป่วย


3. ได้มีการเปิดตึกติดเชื้อแยกออกไปอย่างชัดเจน สำหรับผู้ป่วยที่ต้องสงสัย และกำลังติดตามผลเลือด โดยมีห้องปลอดเชื้อและห้องไว้สำหรับดูแลเฉพาะ 11 ห้อง เพื่อแยกห้องไม่ให้มีการสัมผัสกับผู้อื่น ทั้งนี้ สำหรับการจัดห้องปลอดเชื้อ หรือเปิดพื้นที่ต่างๆ นั้น หากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอาจจะไม่เพียงพอคณะแพทยศาสตร์ และโรงพยาบาลได้มีการประสานขอความร่วมมือกับทางสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรองรับ ช่วยดูแลผู้ป่วย


“นอกจากมาตรการนโยบายต่างๆ ที่คณะแพทยศาสตร์ มช.และโรงพยาบาลดำเนินการแล้วนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความร่วมมือจากประชาชนในการป้องกันและดูแลตัวเอง โดยควรจะล้างมือ สวมใส่หน้ากากอนามัย กินอาหารสุก กินอาหารด้วยช้อนกลาง พยายามหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำร่างกายของตนเองให้แข็งแรงศ.นพ.บรรณกิจ กล่าว


โรคไวรัสโคโรนานี้ ถ้าพิจารณาจากการเสียชีวิต ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มของผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงจะมีอาการดีขึ้นจนปกติและกลับบ้านได้ ดังนั้น การรับมือกับโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ดีที่สุด คือ ทุกคนต้องดูแลสุขภาพของตนเอง และไม่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงที่จะมีการแพร่กระจายของเชื้อ


อย่างไรก็ตามประเทศไทยโชคดีที่มีระบบการแพทย์ สาธารณสุขที่ดีมากทำให้มีการตรวจคัดกรองได้เร็ว และมีการป้องกันควบคุมได้เป็นอย่างดี 


ศ.นพ.บรรณกิจ กล่าวปิดท้ายว่าตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์โรคไวรัสโคโรนาจะระบาดไปอีกยาวนาน หรือมีความรุนแรงมากน้อยขนาดไหน เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นการรักษาตามอาการ ยังไม่มีวัคซีน หรือยาในการหยุดระบาดของโรคดังกล่าว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่อยากให้ทุกคนตื่นตระหนก โดยเฉพาะคนไทย เพราะด้วยศักยภาพทางการแพทย์ สาธารณสุขของไทยมีการวางระบบการควบคุมไว้อย่างดี คนไทยต้องช่วยกันดูสุขภาพร่างกายของตนเอง และควรมีน้ำใจกระจายอุปกรณ์ที่ตนเองมีเพียงพอแล้ว ไม่ควรกักตุนอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น หน้ากากอนามัย หรือเจลแอลกอฮอล์ หากทุกคนช่วยกันดูแลตัวเอง และนึกถึงผู้อื่น เชื่อว่าป้องกันโรคไวรัสโคโรนาได้อย่างแน่นอน

Shares:
QR Code :
QR Code