ชูไอเดียออกกำลัง ‘ไทชิ ชี่กง’ ช่วยลดอาการโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้
หน่วยโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผย โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมักเป็นกลุ่มโรคที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย และมีแนวโน้มอัตราการตายสูงขึ้น จึงทำการวิจัยวิธีการออกกำลังกาย โดยการนำท่ารำไทเก๊ก เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพปอดที่เหมาะสมกับคนทุกวัย
ศ.พญ.สุมาลี เกียรติบุญศรี หน่วยโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมักเป็นกลุ่มโรคที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย และมีแนวโน้มอัตราการตายสูงขึ้น ซึ่งองค์การอนามัยโลก (who) คาดว่า ในปี 2573 คนจะตายด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นอันดับ 3 ของโลก สำหรับคนไทยอายุ 40 ปีขึ้นไป พบเป็นโรคปอด อุดกั้นเรื้อรังประมาณร้อยละ 5 หรือประมาณ 1,000,000 คน สาเหตุเกิดจากการสูบบุหรี่ มากถึงร้อยละ 90 รวมไปถึงมลภาวะทางอากาศ ฝุ่นควันจากการเผาฟืน เป็นต้น โดยผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะมีอาการคล้ายกับผู้ที่ เป็นโรคหืด คือ มีอาการหายใจหอบ มีเสมหะ มาก และไอเรื้อรัง แต่มีอันตรายกว่า เนื่องจาก เป็นโรคที่ทำให้พยาธิสภาพของปอดเปลี่ยนไปอย่างถาวร โดยทุกครั้งที่อาการกำเริบหรือเกิดการอักเสบขึ้น จะทำให้สมรรถภาพของปอดจะเสื่อมลงอีกระดับหนึ่ง
“การรับมือกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการกำเริบ อาทิ หยุดสูบบุหรี่ ไม่อยู่ในที่ที่มีมลภาวะมากเป็นเวลานาน เป็นต้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายที่ต้องอาศัยกล้ามเนื้อทุกส่วนพร้อมกันสามารถช่วยได้ เช่น การวิ่งลู่ ปั่นจักรยาน ซึ่งแพทย์ตะวันตก ศึกษา พบว่า เมื่อออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง 20-30 นาทีต่อวัน จำนวน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ นาน 6 สัปดาห์ สามารถช่วยฟื้นฟูสมรรถ ภาพปอดได้ ทำให้อาการกำเริบลดลง” ศ.พญ.สุมาลี กล่าว
ศ.พญ.สุมาลี กล่าวอีกว่า โรงพยาบาล รามาธิบดี จึงทำการวิจัยวิธีการออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพปอดที่เหมาะสมกับคนทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่สำคัญสามารถทำ เองที่บ้านหรือเป็นกลุ่มได้ โดยการนำท่ารำไทเก๊ก มาผสมกับวิธีการหายใจที่ถูกต้องจากแพทย์ตะวันตก ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้เลือกท่ารำไทเก๊กที่ง่าย ต่อการใส่ลมหายใจประกอบออกมา 9 ท่า จากนั้น จึงทำการทดลองวัดผล ซึ่งใช้ระยะเวลา ประมาณ 1 ปี จึงประสบความสำเร็จ เรียกว่า การออกกำลังกายฟื้นฟูสมรรถภาพปอด “ไทชิ ชี่กง” ซึ่งแต่ละท่าจะมีการกำหนดลมหายใจ และต้องมีการทำซ้ำประมาณ 3-5 นาที
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า