ชุมชนท้องถิ่นปลอดควันบุหรี่

ยุทธศาสตร์ใหม่สร้างแนวรุก  "ชุมชนท้องถิ่นปลอดควันบุหรี่"


ชุมชนท้องถิ่นปลอดควันบุหรี่ thaihealth


สถานการณ์ผลเสียด้านสุขภาพจากยาสูบในประเทศไทยกำลังถึงจุดเปลี่ยน เมื่อมีการผลักดัน พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ เพื่อลดอุปสงค์ยาสูบและป้องกันไม่ให้กลุ่มเยาวชนและนักสูบหน้าใหม่เพิ่มจำนวน ซึ่งจากสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2556 พบว่าไทยมีนักสูบหน้าใหม่เพิ่มจำนวนขึ้นเฉลี่ยปีละแสนราย และข้อมูลระบุว่าประชากรส่วนใหญ่ที่สูบบุหรี่อาศัยอยู่นอกกรุงเทพมหานครถึงร้อยละ 90 โดยผู้สูบวัย 15 ปีขึ้นไป ที่อาศัยเขตนอกเทศบาลมีอัตราการสูบบุหรี่สูงกว่าผู้ที่อยู่ในเขตพื้นที่เทศบาลเกือบเท่าตัว จากสถิติดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการทำงานขับเคลื่อนเพื่อควบคุมสูบบุหรี่ในภาคชนบทนั้นยังขาดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม


ในการบรรยายพิเศษ เรื่องชุมชนท้องถิ่นกับการควบคุมยาสูบรองรับการปฏิรูปประเทศไทย โดย นางสาวดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการ สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่จัดขึ้นในการประชุมวิชาการ "บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 14" เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้นำชุมชนท้องถิ่นมารวมตัวกันเพื่อร่วมรับฟังแนวทางและมาตรการในการขับเคลื่อนการรณรงค์เลิกบุหรี่ในชุมชน ด้วยเป้าหมายที่ต้องการสร้างพลังชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองในการต่อต้านบุหรี่


นางสาวดวงพร กล่าวว่า ปัจจุบันครอบครัวไทยทุก 1,000 ครอบครัว มีคนสูบบุหรี่ถึง 150 ครอบครัว โดยมีสมาชิกที่สูบบุหรี่เฉลี่ย 2 คนต่อครอบครัว การสูบบุหรี่ยังเป็นต้นเหตุของหลายปัญหาในสังคมไทย ทั้งปัญหาโดยตรงด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยนำไปสู่โรคเรื้อรังมากมาย และยังเป็นต้นเหตุให้อายุสั้น ซึ่งสร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากสถิติพบว่า ผู้ชายสูบบุหรี่มากกว่าผู้หญิง มีผลทำให้ผู้ชายอายุสั้นกว่าผู้หญิงถึง 4 เท่า จึงเป็นโอกาสที่จะทำให้แต่ละครอบครัวต้องเสียผู้นำครอบครัวไปเพราะโรคที่เกิดจากบุหรี่ และการสูบบุหรี่ยังมีผลต่อรายได้ต่อครอบครัว ไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจำนวนไม่น้อยที่รัฐต้องเสียในแต่ละปี


สำหรับในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1,800 แห่ง มีเพียง 197 แห่งที่มีการดำเนินการรณรงค์เรื่องการควบคุมผู้สูบบุหรี่ และมีเพียง 179 สถานศึกษาที่จัดกิจกรรมรณรงค์ด้านการควบคุมผู้สูบบุหรี่


ชุมชนท้องถิ่นปลอดควันบุหรี่ thaihealth


นางสาวดวงพร กล่าวว่า การวิเคราะห์สถานการณ์และปัญหาผู้สูบบุหรี่ ต้องนำเอาผู้ได้รับผลกระทบมาเป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์ผลกระทบด้วย เนื่องจากไม่เพียงจะสร้างปัญญหาด้านสุขภาพให้กับผู้สูบมือสอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลในครอบครัว แต่การที่มีบุคคลที่สูบบุหรี่ในครอบครัวยังเป็นหนึ่งในสาเหตุจูงใจให้เกิดนักสูบหน้าใหม่ โดยเด็กมีประสบการณ์ใกล้ชิดหรือเห็นภาพพ่อแม่ ปู่ย่าตายายสูบจนชิน และมีผลต่อการเริ่มความคิดที่จะสูบตามรอยผู้ใหญ่ในอนาคต ขณะเดียวกัน เมื่อครอบครัวมีอิทธิพลต่อผู้สูบ จึงมองเห็นแนวทางที่ควรให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในกระบวนการเลิกบุหรี่ด้วย เนื่องจากเป็นคนใกล้ตัว และมีอิทธิพลต่อความคิดของผู้สูบบุหรี่


สำหรับมาตรการในการควบคุมผู้สูบบุหรี่ มองว่า ไม่สามารถใช้มาตรการกฎหมายเข้าไปจัดการอย่างเดียวได้ เนื่องจากอาจจะไม่ได้ผลหากมีการใช้ตั้งแต่ต้น ดังนั้น จึงพยายามหาแนวทางในการสร้างเครื่องมือเพื่อเป็นกลไกช่วยขับเคลื่อนและรณรงค์ให้เกิดสังคมปลอดบุหรี่


ในท้องถิ่น โดยได้วางบทบาทให้ชุมชนเป็นกำลังสำคัญในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนด้วยตนเองเพื่อสร้างแรงกระตุ้นและขยายแนวร่วม ลด ละ เลิกยาสูบ ให้เกิดขึ้นในชุมชน และเป็นการเตรียมความพร้อมของชุมชน ก่อนที่จะมีการใช้กฎหมายอย่างจริงจังในลำดับต่อไป ซึ่งจะช่วยให้การใช้กฏหมายดังกล่าวมีประสิทธิภาพดีขึ้น


ซึ่งขณะนี้มี 108 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อาสาทำหน้าที่ขับเคลื่อนงานต้านบุหรี่ในชุมชน และตั้งปณิธานที่จะยกศักยภาพสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้ต้านบุหรี่ชุมชน โดย สสส. ได้มีการกำหนดกิจกรรมด้านการรณรงค์เพื่อลด ละ เลิกยาสูบขึ้น7 กลุ่มกิจกรรมขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อน ได้แก่ 1.การรณรงค์ทุกระดับ 2.การจัดสภาพแวดล้อม 3.กติกาหรือมาตรการทางสังคม 4.มาตรการองค์กรกลุ่มสังคมหน่วยงาน 5.การบังคับใช้กฏหมาย 6.การเสริมทักษะบุคคลภายในครอบครัว และ 7.การบำบัดฟื้นฟู ซึ่งทั้ง 7 กิจกรรมดังกล่าวจะใช้เป็นกลไกในการทำงานขับเคลื่อนในท้องถิ่น


"หากท้องถิ่นใดที่มีการทำครบทั้ง  7 กิจกรรมจะทำให้กิจกรรมการรณรงค์ลดบุหรี่มีศักยภาพมาก ซึ่ง สสส.จะยกระดับให้ท้องถิ่นหรือชุมชนใดที่มีการดำเนินการครบทั้ง 7 กิจกรรม เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการรณรงค์ลด ละ เลิกบุหรี่ในชุมชนต้นแบบ


"ตอนนี้เราคิดว่าจะมีการขับเคลื่อนพื้นที่ เป็นสองกลุ่ม ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้รณรงค์เลิกบุหรี่ ซึ่งกลุ่มนี้จะทำกิจกรรมครบวงจร 7 ข้อ และศูนย์ประสานงาน ซึ่งจะต้องทำกิจกรรมให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อ ซึ่งเราได้คัดเลือกชุมชนที่สามารถปฏิบัติได้ครบ 7 กิจกรรมแล้ว ประมาณ 15 แห่ง จาก 108 แห่งที่สมัครเข้ามา โดยเราจะไปให้เขาไปขับเคลื่อนงานรณรงค์ต่อ โดยทำงานร่วมกับชุมชนอื่น 1 ชุมชน ต่อ 30 แห่ง ในฐานะเครือข่ายรณรงค์เรื่องบุหรี่ เพื่อยกระดับให้ชุมชนที่เหลือพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ฯ"


ชุมชนท้องถิ่นปลอดควันบุหรี่ thaihealth


สำหรับส่วนที่สอง มีการส่งเสริมกิจกรรมรณรงค์และสร้างสภาพแวดล้อม ให้เป็นศูนย์สนับสนุน รวมถึงการรณรงค์ในด้านบุคคลต้นแบบ และการอาศัยบุคคลใกล้ชิด ได้แก่ ครอบครัว การเรียนรู้จากตำบลอื่นเข้าไปช่วยขับเคลื่อนระดับบุคคล และการสร้างมาตรการกดดันทางสังคมต่างๆ อาทิ  การจำกัดพื้นที่ผู้สูบในชุมชนและที่สาธารณะ


"สิ่งที่ สสส.จะช่วยชุมชนได้มาก คือความรู้ทั้งในเรื่องพิษภัยบุหรี่ และความรู้เรื่องกลยุทธ์วิธีการจัดทำแผนงาน หรือวางกลุ่มเป้าหมาย เพราะการทำงานด้านบุหรี่ต้องใช้ข้อมูล" นางสาวดวงพรกล่าวและว่ากระบวนการแรกของการเริ่มรณรงค์สู่ชุมชน คือการกระตุ้นให้ผู้นำชุมชนท้องถิ่น หันมาเลิกโดยเด็ดขาด เพื่อเป็นแบบอย่างและมีส่วนให้องค์กรปฏิบัติการในด้านอื่นได้ง่าย


นอกจากนี้ เพื่อผลักดันให้การทำงานดังกล่าวได้ผล จึงใช้มาตรการในการสอดแทรกให้เรื่องรณรงค์เลิกบุหรี่เข้าไปอยู่ในทุกมิติและทุกเงื่อนไขการทำงานและการขับเคลื่อนเรื่องอื่นๆ ของ สสส. อาทิ การผูกเข้าไปในเรื่องเศรษฐกิจชุมชน โดยมีแนวคิดที่จะผนวกมาตรการลดเลิกบุหรี่ไปในเงื่อนไข เรื่องสถาบันการเงินชุมชน เช่น หากใครที่เลิกบุหรี่ได้ จะได้รับเงินปันผลเพิ่มขึ้น และยังส่งเสริมต่อเนื่องในด้านสวัสดิการ เช่น คนที่สูบบุหรี่เลิกได้ต่อเนื่องทุกปี จะได้รับสวัสดิการหรือสิทธิพิเศษ เช่น ลูกสามารถรับทุนการศึกษาเป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้การเลิกบุหรี่กลายเป็นวิถีของชุมชน ซึ่งหลังจากการดำเนินการทั้งหมดนี้ คาดว่าภายใน 3 ปีน่าจะเห็นผลการทำงานขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม


"การที่มีบุคคลที่สูบบุหรี่ในครอบครัวยังเป็นหนึ่งในสาเหตุจูงใจให้เกิดนักสูบหน้าใหม่  โดยเด็กมีประสบการณ์ใกล้ชิดหรือเห็นภาพพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย สูบจนชิน และมีผลต่อการเริ่มความคิดที่จะสูบตามรอยผู้ใหญ่ในอนาคต"


        


 


ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


 

Shares:
QR Code :
QR Code