ชี้ การศึกษาไทยเหลว เงินสะพัดกวดวิชากว่า 2 หมื่นล้าน

พ่อแม่ เผยการแข่งขันสูง จำยอมส่งลูกเรียนกวดวิชา

 

ชี้ การศึกษาไทยเหลว เงินสะพัดกวดวิชากว่า 2 หมื่นล้าน            ก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ของการปฏิรูปการศึกษาไทย นับแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีรูปแบบของปัญหาที่แตกต่างกันให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้แก้ไขอยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีเสียงสะท้อนจากเครือข่ายครอบครัว ถึงปัญหาทางด้านการแข่งขันทางการศึกษาที่สูงขึ้น ทำให้การเรียนการสอนในโรงเรียนไม่เพียงพอในความรู้สึกของเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง อีกต่อไป…

 

            ซึ่งปัญหาดังกล่าว ได้รับการเปิดเผยจาก นายธนากร คมกฤส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเครือข่ายครอบครัว ว่า มูลนิธิเครือข่ายครอบครัวได้ทำการสำรวจ Family Poll เพื่อฟังเสียงสะท้อนของสังคม เรื่อง ครอบครัวกับการก้าวสู่ปีที่ 10 ปฏิรูปการศึกษาไทย พบว่า ส่วนใหญ่การเรียนม.ต้น และม.ปลาย ผู้ปกครอง 71.9% ส่งเด็กไปเรียนพิเศษ โดยเรียนเสริม วิชาภาษาอังกฤษมากที่สุดถึง 69% รองลงมา คณิตศาสตร์ 56.9% ฟิสิกส์ 33.6% ภาษาไทย 33% เคมี 32.4% ส่วนสาเหตุที่ส่งไปเรียนเพราะอยากให้ได้ความรู้เพิ่ม อยากให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และจะได้สอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง

 

            ส่วนค่าใช้จ่ายที่เรียนเสริม ที่ต้องจ่ายต่อเดือนต่อคน 39.6% อยู่ที่ 1,001-3,000 บาท 20.7% จ่าย 3,0015,000 บาท 9.9% จ่าย 5,001- 7,000 บาท และมีถึง 7% ที่ต้องจ่ายมากกว่า 9,000 บาท และ 18.6% จ่ายไม่เกิน 1,000 บาท ขณะที่รายได้รวมต่อเดือนของทั้งครอบครัว 26.1% มีรายได้ 10,001-20,000 บาท 18.7% รายได้ 20,0001-30,000 บาท 17.9% มากกว่า 50,000 บาท มีถึง 13.4% ที่มีรายได้ไม่ถึง 10,000 บาท แม้ครอบครัวส่วนใหญ่จะมีรายได้ไม่มาก เมื่อเทียบกับรายจ่าย แต่ก็ต้องดิ้นรนส่งลูกหลานเรียนพิเศษ เรียนเสริมนายธนากร กล่าว

 

            ทางด้าน ศ.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตวิจัย (มธบ.)กล่าวว่า  ปัญหาการศึกษาไทยยังไม่ได้รับการแก้ไข อีกทั้งกระบวนการที่รัฐบาลคิดว่าเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหากลับเป็นทำให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น  อย่างสมัยก่อนเด็กนิยมกวดวิชาเพื่อให้สามารถเอ็นทรานซ์ได้เป็นหลัก  แต่พอเปลี่ยนมาเป็นแอดมิชชั่นส์ต้องใช้ คะแนนจีพีเอ เด็กต้องกวดวิชาเพื่อเพิ่มคะแนนจีพีเอให้ดีขึ้นด้วย เพื่อให้ได้เข้าเรียนใน รร.ดี ๆ โดยเริ่มกวดตั้งแต่ระดับอนุบาล ซึ่งเชื่อว่ามีเด็กที่กวดวิชาไม่น้อยกว่า 40- 50%

 

            ในปี 2549 ประมาณการณ์ว่าจะมีเด็กอยู่ในระบบการศึกษา ระดับ ป.1-ป.6 จำนวน 5 ล้าน 7 แสนคน ระดับ ม.1-ม.6 จำนวน 4 ล้าน 6 แสน 6 หมื่นคน รวม 10 ล้าน 3 แสน 6 หมื่นคน ในจำนวนนี้ถ้ากวดวิชา 40% จำนวน 4 ล้าน 1 แสน 4 หมื่น 4 พันคน หากเรียนกวดวิชาอย่างน้อยคนละ 2 วิชา วิชาละ 2พัน 5 ร้อยบาท ก็เป็น 5 พันบาท คิดเป็นมูลค่า 2 หมื่น 7 ร้อย 20 ล้านบาทต่อปี ซึ่งนี่คิดจากค่าเฉลี่ยต่ำสุด ถ้าคิดว่ากวดวิชาราว 50% จะเป็นเงิน 2 หมื่น 5 พัน 9 ร้อยล้านบาทต่อปี จึงน่าจะมีเงินหมุนเวียนตลาดนี้ปีละ 2 หมื่น- 2 หมื่น 5 พันล้านบาทต่อปีศ.ไพฑูรย์ กล่าว

 

            ศ.ไพฑูรย์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่พ่อแม่ส่งลูกไปกวดวิชา ส่วนใหญ่อยากให้เข้าเรียนสถาบันดีๆ ดังๆ ซึ่งสะท้อนจุดอ่อนระบบการศึกษาไทย ที่เน้นการแข่งขัน มากกว่าใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ และทำความเข้าใจวิชาที่เรียน เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนค่านิยมผิดๆ ว่าเส้นทางเดินจาก ประถม มัธยม สู่มหาวิทยาลัย เป็นทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จ คนที่จบสายวิชาชีพ คือคนที่สำเร็จและมีความสุขกับชีวิตได้ ทางแก้ 1.ขยายโอกาสการศึกษาให้เด็กชนบทและเขตเมืองเท่าเทียม 2.มาตรฐานการศึกษาต้องใกล้เคียงกันทุกมหาวิทยาลัย 3.ค่าตอบแทนแต่ละวิชาชีพ ควรใกล้เคียงกัน เพื่อให้เด็กเลือกเรียน เลือกเป็นในสิ่งที่สนใจที่ถนัด 3.โรงเรียนควรสอนให้เด็กรู้จักคิดและมั่นใจตัวเองมากขึ้น

 

            ขณะนี้ยังมองไม่เห็นทางแก้ปัญหาทั้งกระบวนการของระบบการศึกษาแบบเดิม ๆ เห็นชัด ๆ คือเรื่องความแตกต่างของเงินรายหัว ระหว่างรร.ในเมืองกับรร.ขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกล รร.ขนาดใหญ่ที่อยู่ในเมืองมักจะได้เงินสนับสนุนมากกว่าเพราะมีเด็กมากกว่า ทำให้สามารถนำเงินจำนวนนี้ไปพัฒนา รร.ในด้านต่าง ๆ ได้ ขณะที่ รร.ขณะเล็กได้รับเงินน้อยกว่าการพัฒนาจึงไม่ค่อยเห็นผล นอกจากนั้นยังมีโครงการดึงคนเก่งออกจากชนบทอีก เช่น โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนศ.ไพฑูลย์ กล่าว

 

            ทั้งนี้ ในส่วนของระดับอุดมศึกษานั้นหลังจากมีการเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจในการบริหารจัดการเพิ่มมากขึ้น ทั้งเรื่องการอนุมัติหลักสูตร รวมถึงเรื่องการจัดการนักศึกษา ส่งผลให้มหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรพิเศษได้ง่าย ทิศทางจึงกลายเป็นว่า หากคุณต้องการสิ่งพิเศษก็ต้องจ่ายเพิ่ม การศึกษากลายเป็นเรื่องของสินค้า แทนจะเป็นบริการที่ประชาชนต้องได้รับจากรัฐ ต่อไปในอนาคตจะมีการแบ่งชนชั้น คนที่เรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำ มีชื่อเสียงจะเป็นกลุ่มคนชั้นสูงเพราะมีเงินเสียค่าเรียนพิเศษ

 

            ด้าน นางอำนวยพร เหรียญทองเลิศ ตัวแทนผู้ปกครอง กล่าวว่า ความสุขของครอบครัวไทยค่อย ๆ หายไป ขณะที่ความทุกข์กลับเพิ่มมากขึ้น และหากถามผู้ปกครองว่าจำเป็นต้องให้ลูกเรียนพิเศษหรือไม่ ทุกครอบครัว บอกว่าไม่จำเป็น แต่จำยอม  เพราะเมื่อพิจารณาถึงคุณภาพของสถานศึกษา และคุณภาพของครูแล้วจะเห็นว่ามีปัญหา คุณภาพของการเรียนการสอนด้วย ทำให้เด็กต้องเรียนพิเศษเพราะเห็นว่าเป็นทางออก ที่ช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายจากในห้องเรียน และสร้างความได้เปรียบเมื่อเข้าสู่กระบวนการแข่งขัน 

 

            พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะอยากให้ลูกเป็นคนดี แต่ในทางปฏิบัติแล้วสวนทางกัน เพราะทุกวันนี้ สังคมเป็นสังคมแห่งการแข่งขัน ทางแก้ต้องเริ่มจากพ่อแม่ ต้องคิดนอกกรอบอย่าบังคับให้ลูกเรียนในสิ่งที่ลูกไม่อยากทำ ต้องดูว่าลูกมีความถนัดเรื่องใดให้ลูกได้ทำสิ่งนั้น การเรียนพิเศษไม่ได้ช่วยให้ลูกประสบความสำเร็จ สิ่งที่ทำให้เด็กประสบความสำเร็จคือความรับผิดชอบและค้นหาสิ่งที่ตนเองให้พบ ควรให้เด็กได้ลองผิดลองถูกเพื่อให้เด็กได้มีภูมิคุ้มกันนางอำนวยพร กล่าว

 

 

 

 

 

เรื่องโดย :  อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team Content www.thaihealth.or.th

 

 

Update 30-06-51

Shares:
QR Code :
QR Code