ชีวิตใสคนริมคลอง กับฝันไกลสู่เวนิสตะวันออก
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจาก MGR Online
"น้ำท่วมขัง หรือ "น้ำรอการระบาย" ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร นี่ก็คือปัญหาซ้ำซากของกรุงเทพมหานครที่เกิดขึ้นทุกครั้ง เมื่อฝนตก กรุงเทพฯ เกือบกลายเป็นเมืองบาดาล เมื่อปี 2554 คือภาพเหตุการณ์ที่ยังคงแจ่มชัด ในใจคนไทย
วันนี้เพื่อแก้ปัญหาข้างต้น รัฐจึงเลือก 9 คลองในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ คลองลาดพร้าว คลองเปรมประชากร คลองบางเขน คลองสามวา คลองลาดบัวขาว คลองบางซื่อ คลองประเวศบุรีรมย์ คลองพระโขนง และคลองพระยาราชมนตรี พัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง ขยายคลองระบายน้ำให้กว้างขึ้น ขุดให้ลึกมากขึ้น และสร้างเขื่อนริมคลอ ควบคู่กันก็คือการแก้ปัญหาให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ที่อาศัยอยู่ ริมคลองซึ่งปลูกสร้างบ้านรุกล้ำลำคลอง มากขึ้นทุกที จนเป็นอีกต้นเหตุของปัญหาการระบายน้ำ
วันนี้จึงเริ่มมาตรการนำร่อง "ขยับ" พื้นที่และสร้างบ้านใหม่ให้ถูกต้อง แก้ไขสภาพเสื่อมโทรม สามารถเข้าถึงบริการของรัฐ พัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจรอบชุมชน จัดระเบียบภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี (พ.ศ.2559-2568) ในคลองลาดพร้าว ที่ประเดิมด้วย 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ 54 ชุมชนเพิ่มสินร่วมใจ ชุมชนหลังกรมวิทยาศาสตร์ และชุมชนวังหิน
ภายในงาน เวทีสานพลังชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 2 ประจำปี 2561 จากสาระสำคัญในการเสวนาเรื่อง "การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง" เผยให้เห็นภาพบ้านเรือนหลากสีสันริมคลองจากฝีมือการเลือกออกแบบและตกแต่งของเจ้าของบ้านที่ เข้าร่วมโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองที่แล้วเสร็จ มีภาพกิจกรรมภายในชุมชน ที่แสนเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น อีกทั้งยังนำโมเดลบ้านที่ออกแบบโดยชาวบ้าน มาเผยให้เห็นเป็นตัวอย่าง
ธนัช นฤพรพงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) กล่าวว่า เป้าหมายในระยะต้น เริ่มที่การพัฒนาชุมชนริมคลองลาดพร้าว พัฒนาที่อยู่อาศัยและสร้างแนวเขื่อนริมคลองลาดพร้าว-คลองบางซื่อ ครอบคลุม 52 ชุมชน 7,081 ครัวเรือน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และแก้ปัญหาการระบายน้ำ
"เพราะอะไรจึงเลือกคลองลาดพร้าวพื้นที่นำร่อง เพราะที่นี่เป็นคลองเก่าแก่ที่ขุดสมัย รัชกาลที่ 5 เมื่อก่อนเป็นคลองน้ำใส อาบน้ำได้ตกปลาได้ แต่ปัจจุบันพบว่าคลองเน่า โดยสภาพของคนที่อยู่ที่นี่เป็นผู้บุกรุกนานกว่า 60-70 ปี ปลูกบ้านไม่ถูกสุขลักษณะมานาน"
ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กล่าวอีกว่า วิธีการแก้ไขคือต้องรื้อย้ายบ้านที่สร้างอยู่ในคลอง หรืออยู่ในแนวเขื่อนออกมา เพื่อปรับ ผังชุมชนใหม่ ในที่ดินเดิม และเนื่องจากพื้นที่แต่ละชุมชนมีจำกัด ดังนั้น จึงต้องรื้อบ้านเพื่อสร้างใหม่ทั้งชุมชน โดยแต่ละครอบครัว จะได้รับการ จัดสรรที่ดินเท่ากัน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกัน ในชุมชนเดิมได้
"การจะเข้าไปแก้ปัญหาที่นี่จะต้องคุยกัน ให้ชาวบ้านทั้งหมดมาดูโครงการเอง ให้เขาคิด และร่วมตัดสินใจเองว่าจะอยู่บ้านแบบไหน สิ่งที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ คือรัฐบาลเห็นว่าชาวบ้านสามารถดำเนินการเองได้"
อัญชิสา หัดจุมพล ปฏิบัติการชุมชน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ให้ข้อมูลว่า ภาพเดิมที่บ้านยื่นเข้ามาในคลอง พอช. ได้ออกแบบให้บ้านขยับขึ้นมาด้านบน โดยชาวบ้านต้องเช่าที่จากกรมธนารักษ์ ในส่วนของบ้านและงบประมาณในการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ รัฐบาลอุดหนุนส่วนหนึ่ง ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นภาระการผ่อนจ่ายของเจ้าของบ้าน ในงบประมาณนี้เราจะสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น
"การออกแบบบ้านจะออกแบบตามบริบทพื้นที่ว่าสามารถจัดสรรพื้นที่ให้คนในชุมชนทั้งหมด ว่าสามารถอยู่อาศัยได้ครบทุกครัวเรือนหรือเปล่า บางชุมชนมีพื้นที่มากพอที่จะสร้างเป็นบ้านเดี่ยวได้ก็สร้างเป็นบ้านเดี่ยว ถ้าครอบครัวไหนที่เป็นครอบครัวใหญ่ก็จะมีบ้านขนาดใหญ่ขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงภาระการผ่อนจ่าย"
โดยยังกล่าวต่อว่าสถาบันฯ ส่งเสริม ให้ชุมชนลุกขึ้นมาทำด้วยตัวเอง โดยมีการลงไปทำความเข้าใจในกระบวนการแรก
"สำหรับในการบริหารจัดการเงินและงบประมาณที่ลงไปในชุมชน จะต้องเรียนรู้และบริหารจัดการกันเอง แต่เราจะมีการสอน และประเมินระบบการจัดการบัญชีจากกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจสอบบัญชี พอเขาเก่งแล้วสามารถไปสอนชุมชนอื่นได้ด้วย ในการออกแบบวางผังบ้านก็จะเกิดจากความคิดของคนในชุมชน แต่ต้องตกลงกัน กรรมการ หรือผู้สนใจที่อยากลุกขึ้นมาทำงานร่วมกัน ทั้งทำความเข้าใจให้คณะใหญ่และลูกบ้านฟัง กลายเป็นเกิดคนทำงานที่ เกิดจากชุมชนแท้จริง ลงมติกันว่าอยากได้บ้านแบบไหน คุยกับสถาปนิกเราโดยเราไม่คิดค่าใช้จ่าย ราคาบ้าน ก็เลยประหยัดลงไปเยอะ สิ่งสำคัญการที่ชาวบ้านได้ทำเอง ก็คือบ้านและโครงการของเขาเลย เราก็แค่เป็นพี่เลี้ยงในการสนับสนุนพัฒนา" อัญชิสา กล่าว
ด้านผู้แทนชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ 54 เขตสายไหม อวยชัย สุดประเสริฐ กล่าวว่า จากเดิมศาลเจ้าพ่อสมบุญ 54 เป็นชุมชนอิสระไร้สังกัดและอยู่ในสถานะผู้รุกล้ำริมคลอง ปัจจุบันเป็นหนึ่งในชุมชนที่ถอดบทเรียนจากโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ประสบความสำเร็จ
เขาเล่าว่า ชุมชนเดิมทีอยู่ในคูคลอง พอเข้าโครงการ สมาชิกทุกคนต้องเข้าโครงการด้วยการโยกย้ายขึ้นไปอยู่บนบก ตามแนวนโยบาย ทั้งนี้เพื่อบ้านที่มั่นคงขึ้น ลูกหลานก็จะอยู่มั่นคงขึ้น อยู่อาศัยแบบ ถูกสุขลักษณะ ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ผู้บุกรุกอย่างเดิมที่เคยเป็นมา และจะเป็นที่อยู่ในอนาคตข้างหน้า เรื่องสาธารณสุขก็จะดีขึ้น ถ้าพี่น้องได้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด ก็จะปรับปรุงให้ดีขึ้น มีการเดินทางที่ดีขึ้น คมนาคมทางเรือ รถไม่ติด หลังจากเขื่อนเสร็จการสัญจรทางน้ำก็จะสะดวก สองฝั่งคลองก็สวยงาม ในอนาคตข้างหน้าบ้านเมือง ริมคลองจะเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด
"ผมมองภาพในอนาคตถึงความสมบูรณ์ ของคนริมคลองว่า จะมีทั้งอาชีพ สุขภาพ อย่างโครงการของ สสส.ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนหลังทำบ้านเสร็จ ก็มีทั้งส่งเสริมด้านอาชีพ ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ และเด็กๆ ที่จะเติบโตในอนาคต ต่อไปชุมชนจะมีสุขภาวะที่ดี ลูกหลานปราศจากยาเสพติด ขยะไม่มี เป็นเรื่องที่ชุมชนต้องตระหนักและหันมาดูแลตัวเอง โดยการสนับสนุนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง"
แน่นอนว่าในแง่ความแตกต่างของคุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัยย่อมแตกต่างกันระหว่างชุมชนที่พัฒนาแล้วกับชุมชนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนที่จะพัฒนา โดยในด้านกายภาพ สิ่งที่มองเห็นทันทีคือสภาพ บ้านเรือนที่สวยและเป็นระเบียบมากขึ้น
"เดิมทีคนในชุมชนก็จะมีรถเข็น ค้าขาย ถนนในชุมชนก็จะสัญจรได้แค่จักรยานยนต์ที่วิ่งสวนกันในทางเล็กๆ ซึ่งไม่สามารถทำอะไรได้มาก เมื่อบ้านเสร็จแล้วเราสามารถดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิต อย่างเด็กเราลงไปตรวจสอบเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือ หรือมีการจัดสอนพิเศษบ้างในชุมชน มีกิจกรรมจิตอาสาเข้าไปในชุมชนมากขึ้น เช่น สอนหนังสือ ตัดผมฟรี หรือสอนอาชีพ"
ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตก็จะร่วมกับ กระทรวง พม. มีราชภัฏพระนครฯ มาพัฒนา ด้านวิชาการ เด็กๆ ก็จะมีจัดกิจกรรมเดิมทีเสาร์อาทิตย์เด็กก็จะเล่นเกม ติดโทรศัพท์ไม่ทำอะไร พอกิจกรรมเข้ามาเข้าก็มีโอกาสด้านอื่นๆ มากขึ้น ออกกำลังกาย ผู้สูงอายุก็มีกิจกรรมทำ เดิมชุมชนแบบเดิมก็แก้ไขปัญหารวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมได้ยากเพราะเป็นชุมชนแออัด พอเป็นชุมชนเปิดมากขึ้น ก็เข้าถึงบริการของรัฐได้ง่ายขึ้น สสส. มีส่วน เข้ามาในด้านของการพัฒนาคุณภาพชีวิต จะเน้นเรื่องการบริหารจัดการน้ำ เรื่องความปลอดภัยในชุมชน สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการและสร้างภาคีเครือข่ายที่เรียกว่าเครือข่ายชุมชนริมคลอง น่ามอง น่าอยู่ เพื่อที่จะดำเนินการต่อยอดเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัย" นักปฏิบัติการชุมชน พอช. ให้ข้อมูล
ขณะนี้บ้านที่ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการดำเนินการพัฒนาไปแล้ว 2,500 ครัวเรือน จากทั้งหมด 7,081 ครัวเรือน ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ประมาณ 36% สิ่งเหล่านี้ จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อตัวชาวบ้านเอง เห็นประโยชน์ แต่สุดท้ายหากจะยั่งยืนได้ ก็ต้องเกิดจากชาวบ้านเช่นเดียวกัน
"ผมคิดว่าการสร้างบ้านไม่ยากเท่าการรักษาบ้าน จุดสำคัญที่จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จก็คือตัวชาวบ้านเอง ที่เห็นประโยชน์ของเรื่องนี้ ที่มองว่าหาก ร่วมโครงการนี้แล้ว ประโยชน์ก็จะเกิดกับส่วนตนด้วย มีบ้านที่ถูกสุขลักษณะ และทำให้ลำคลองใสสะอาด เป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติโดยรวม"
อย่างไรก็ตามธนัช กล่าวเสริมว่า รูปแบบ การพัฒนาแบบนี้ทุกพื้นที่สามารถทำได้ ทั่วประเทศไทย อาจแตกต่างกันแค่บริบท
"บางที่เป็นพื้นที่ริมคลอง บางพื้นที่ เป็นชุมชนอยู่กับการเกษตร หรือบางพื้นที่เป็นชุมชนเพื่อการท่องเที่ยว บริบทแตกต่างกัน แต่เมื่อใดที่ชาวบ้านเห็น ความสำคัญก็จะจัดการตัวเองได้หมดและทำให้เกิดประโยชน์ได้หมด ปัจจุบันสิ่งที่เรามองเห็นร่วมกันในอนาคตก็คือ คลองลาดพร้าวเป็นคลองที่ ใสสะอาด มีท่าเรือ บ้านสองฝั่งสวยงาม เป็นระเบียบ ถ้าโครงการสำเร็จภายใน ปีสองปีนี้ เราจะสามารถปั่นจักรยานจากสายไหมไปพระราม 9 ในระยะ 24 กม. แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชาวบ้าน 7 พันครัวเรือนเห็นประโยชน์และลุกขึ้นมาทำด้วยตัวเอง" ผู้ช่วยผู้อำนวยการ พอช. กล่าวทิ้งท้าย