ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคเหนือ

ธรรมชาติช่วยบำบัดความเหนื่อยล้าได้

ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคเหนือ 

            ได้เวลาชาร์จพลังแล้ว! สำหรับหนุ่มสาวคนไหนที่กำลังโดนจอคอมพิวเตอร์และงานกองโตดูดพลังงาน เครียด กินไม่ได้ นอนไม่หลับ สุขภาพเสีย และทั้งชีวิตไม่เคยออกกำลังกายหรือพักผ่อนอย่างเต็มที่เลย และกำลังมองหาสถานที่ชาร์จพลังอยู่ …วันนี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. จะมาช่วยเติมเต็มความสุขให้คุณด้วยโปรแกรมท่องเที่ยวสุดจี๊ดใน 4 จังหวัดภาคเหนือมาฝาก

 

เริ่มต้นกันที่การฝ่าลมหนาวไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเขาค้อ เป็นสถานที่รู้จักกันดีของคนไทยที่ชอบอากาศหนาวเย็นแบบภาคเหนือ ว่ากันว่าที่นี้มีอากาศเย็นสบายตลอดปีและยังมีทัศนียภาพที่งดงามคล้ายกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์เชียวนะ เรียกได้ว่า ไม่ต้องเสียเวลาบินไปไกล แถมประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกด้วย นอกจากนี้เขาค้อยังเด่นดังเรื่องอากาศที่บริสุทธิ์และสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามหลากหลาย สามารถท่องเที่ยวได้ต่อเนื่องอย่างดีในหนึ่งวัน

 ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคเหนือ

            เริ่มต้นสตาร์ทจุดแรกที่เวลา 08.00 น. ณ พระตำหนักเขาค้อ ซึ่งเป็นพระตำหนักของสมเด็จย่าของชาวไทย ลักษณะตัวอาคารพระตำหนักเขาค้อ เป็นอาคารชั้นเดียวติดต่อกัน เป็นรูปครึ่งวงกลม มีอาคารบางส่วน สร้างเป็นสองชั้น ชั้นบนเป็นห้องบรรทมของประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ชั้นล่างแบ่งเป็นด้านซ้ายและขวา ด้านซ้ายเป็นห้องพระราชทานเลี้ยง ห้องเสวย และห้องเข้าเฝ้าฯ ส่วนด้านขวาเป็นห้องบรรทมของพระบรมวงศานุวงศ์ ใกล้กับพระตำหนักมีห้องพักของข้าราชบริพาร จำนวน 12 ห้อง สร้างเป็นรูปครึ่งวงกลมเช่นกัน

 

บริเวณรอบพระตำหนักจะแวดล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับสีสันสวยงามหลากหลายชนิด ให้ได้ชมกันอย่างเพลินตา ที่สำคัญ ผู้ที่จะเข้าไปเยี่ยมชมพระตำหนักต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยหากมิเช่นนั้น หมดสิทธิ์ดูไม่รู้ด้วยน๊ะ!!!  ต่อจากนั้นเวลา 10.00 น. แวะไปรำลึกถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ อนุสรณ์ผู้เสียสละ อนุสรณ์อันโดดเด่นตั้งอยู่ บนยอดเขาค้อและใกล้กันเป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธในสมัยที่ยังรบกับพรรคคอมมิวนิสต์ให้รับชมกันอีกด้วย

 

ต่อมาเวลา 14.00 น. เป็นช่วงเวลาบ่ายคล้อยที่ทำให้หลาย ๆ คนที่ลงมาจากเขาค้อเริ่มเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะกับการไปกระโดดน้ำเย็น ๆ ที่น้ำตกศรีดิษฐ์ ซึ่งเป็นน้ำตกชั้นเดียวขนาดใหญ่ ที่มีน้ำไหลตลอดปี สายน้ำไหลผ่านหน้าผาหินกว้าง มองเห็นคล้ายม่านน้ำ ตกลงสู่เบื้องล่าง เมื่อกระทบกับหิน เกิดน้ำกระเซ็นสวยงามน่าประทับใจ หากยังมีเวลาเหลือจะขับรถไปยังบ้านหนองแม่นา ล่องเรือชมแมงกะพรุนน้ำจืดที่แก่งบางระจันก็น่าสนใจ

 

เมื่อเติมพลังด้วยน้ำใสเย็นสดชื่นกันแล้ว เวลา 16.00 น. ก็ไปผจญภัยกันต่อที่ภูแก้ว แอ็ดเวนเจอร์ปาร์ค แหล่งผจญภัยแสนสนุกที่มีกิจกรรมและเครื่องเล่นหลากหลายรูปแบบ อาทิ ปีนหน้าผา ล่องแก่ง รถเลื่อนภูเขา พายเรือแคนู ให้คุณได้สนุกแบบไม่มีลิมิตเลยทีเดียว

 

อิ่มหนำสำราญกับการผจญภัยที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์แล้ว ก็ขับรถตรงดิ่งไปที่ดินแดนล้านนาเมืองเชียงใหม่ ซึ่งไม่เพียงมีธรรมชาติงดงามน่าเที่ยวทั้งดอยสูงและป่าเขาอยู่เหลือเฟือแล้ว ในตัวเมืองยังมี วัดพระธาตุดอยสุเทพ ศูนย์กลางความศรัทธาของศาสนิกชนชาวเหนือและวัดวาอารามอื่นๆ อีกมาก ตกเย็นก็มีสถานที่ให้เดินเล่นท่องเที่ยวซื้อของอย่างเพลินเพลินใจ จึงไม่แปลกที่เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้เราคิดถึงและหวนกลับมาท่องเที่ยวอีกสักครั้งได้อยู่เสมอ

 

เมื่อเดินทางถึงเมืองเชียงใหม่ก็หาที่พักให้เสร็จสรรพเรียบร้อย จากนั้นรีบเข้านอนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวในวันใหม่…เสียงนาฬิกาปลุกดังเมื่อไหร่ ก็รีบเด้งตัวเองออกจากที่นอน แต่งตัวให้พร้อมสำหรับการตะลุยเมืองล้านนา เริ่มต้นที่เวลา 08.00 น. ไปไหว้สักการะพระธาตุดอยสุเทพ ที่อยู่คู่เมืองเชียงใหม่มากว่า 700 ปี และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงเชียงใหม่ จนมีคำกล่าวว่า หากมาเชียงใหม่แล้ว ไม่ได้กินข้าวซอย ไม่ได้ขึ้นดอยสุเทพ ก็เหมือนกับว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่” กันเลยทีเดียว รู้อย่างนี้แล้วจะพลาดได้อย่างไร!

ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคเหนือ 

            เมื่อได้สักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองล้านนาเสร็จแล้ว เวลา 10.00 น. ก็ไปเยี่ยมชมแพนด้าน้อยหลินปิง ทูตสันถวไมตรี จากประเทศจีนที่ยังคงต้อนรับแขกต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยได้อย่างน่าเอ็นดูกันที่ สวนสัตว์เชียงใหม่ จากนั้น เวลา 14.00 น. ไปเที่ยวชมวัดเก่าในเขตคูเมือง ซึ่งมีวัดวาอารามให้เดินเที่ยวชมอย่างต่อเนื่องได้ทั้งวัน อาทิ วัดพันเตา วัดเจดีย์หลวง วัดพระสิงห์ เป็นต้น ต่อมาเมื่อเวลา 17.00 น. ไปเดินจับจ่ายซื้อของฝากญาติสนิท มิตรสหายได้ที่ ตลาดถนนคนเดิน

(ประตูท่าแพ) แหล่งรวมสินค้าพื้นเมืองและอินดี้มากมายที่เปิดให้เดินกันทุกวันอาทิตย์ เป็นที่รู้จักกันดีทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวต่างชาติ

 

            เมื่อไป จ.เชียงใหม่แล้วก็ลองขับรถแวะไปที่แม่ฮ่องสอนกันอีกที่ โดยระหว่างตัวเมืองแม่ฮ่องสอนกับจังหวัดเชียงใหม่ ตามทางหลวงหมายเลข 1095 มีอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้ง อยู่กลางหุบเขา หรือที่รู้จักกันในนามของ อำเภอปาย พื้นที่ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ด้วยอากาศที่เย็นสบาย มีความเรียบง่ายของวิถีชีวิต สายน้ำที่ไหลเอื่อย และธรรมชาติที่งดงามตรึงใจ…มาที่อำเภอปาย ควรตื่นตั้งแต่ เวลา 06.00 น. เพื่อชมบรรยากาศเย็นสบายริมแม่น้ำปาย ที่ปรากฏภาพความงามของสายหมอกที่ลอยต่ำเรี่ยสายน้ำไหล พร้อมทั้งมีฉากหลังเป็นขุนเขาเขียว สวยงามและน่าประทับใจอย่าบอกใครเชียว

 

พอสายๆ เวลา 09.00 น. หลายคนชอบแวะเวียนไปที่แค้มป์ช้างเพื่อลองนั่งเอนๆ โยกๆ บนหลังคชสารให้พาเที่ยวชมวิวรอบเมืองปายตกบ่ายเวลา 13.00 น. ลองหารถมอเตอร์ไซค์หรือเช่าจักรยานสักคันขี่เที่ยวชมปายแคนยอน สะพานประวัติศาสตร์ โปร่งน้ำร้อนท่าปายได้แบบสบายๆ จากนั้นช่วงเย็น ๆ ประมาณ 17.00 น. ก็อย่าลืมแวะไปช็อปปิ้งกันที่ถนนคนเดิน ที่ตั้งอยู่ริมถนนในเมืองปาย ที่นี่มีสินค้าแฮนด์เมค ทั้งเสื้อผ้า โปสการ์ด และของตกแต่งให้เลือกซื้อมากมาย ทั้งที่เป็นร้านค้าตกแต่งน่ารัก หรือแบบแบกะดินผลิตเองกับมือโดยชาวเขาพื้นเมือง เดินชมเดินช้อปได้เพลินตาเพลินใจจริงๆหากใครยังไม่เคยไปค้นหา ทริปหน้าควรจะลอง ปายดูเสียที

ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคเหนือ 

ปิดท้ายที่เหนือสุดในสยาม งามตระการสวนแม่ฟ้าหลวง ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนาอย่างจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ สภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี ยิ่งในช่วงฤดูหนาวอากาศที่นี่ถึงขั้นเย็นจัดสะท้านใจ นอกเหนือจากภูชี้ฟ้าซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแล้ว เชียงรายยังมีดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง ตลาดแม่สาย สามเหลี่ยมทองคำ และเมืองเก่าเชียงแสนซึ่งสามารถขับรถเที่ยวได้ภายในวันเดียวด้วย

 

มาถึงที่นี่แล้ว โปรแกรมสนุกต้องกันที่เวลา 07.00 น. ด้วยการแวะไปที่ดอยตุง ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุดอยตุงปูชนียสถานที่สำคัญของเชียงราย ให้เราได้ไหว้สักการบูชากัน นอกจากนี้ยังได้ชมสวนไม้ดอกเมืองหนาวนานาพันธุ์ที่สวยสดท่ามกลางฤดูหนาวในสวนแม่ฟ้าหลวงของสมเด็จย่าด้วย จากนั้นเวลา 10.00 น. ไปเดินซื้อของฝากกันที่ ตลาดแม่สาย ที่อยู่ติดกับเมืองท่าขี้เหล็กของพม่า ที่นี่เป็นแหล่งรวมสินค้าจากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ให้เลือกซื้อเลือกช็อปปิ้งได้อย่างสนุกและยังได้ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นของแถมด้วย

 

จากนั้นเวลา 13.00 น. แวะไปที่สามเหลี่ยมทองคำ จุดชมวิวสามประเทศที่โด่งดังของอำเภอเชียงแสน ที่นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาวและพม่า แถมยังได้นั่งเรือเที่ยวชมวิว และไปไหว้พระธาตุผาเงาอีกด้วย ต่อด้วยเวลา 15.00 น. ไปไหว้พระธาตุเก่าแก่เชียงแสน

เที่ยวชมเมืองเก่าเชียงแสน ที่มีวัด โบราณสถานและกำแพงเมืองเก่าริมแม่น้ำโขงให้เดินชม หรือจะเข้าไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเชียงแสนเป็นรายการปิดท้ายโปรแกรมด้วยก็ได้

 

เพียงแค่นี้ การท่องเที่ยวสัมผัสลมหนาวทริปนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่จะช่วยให้คุณได้ชาร์จพลังร่างกาย แถมยังได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความประทับใจที่มิรู้ลืมกลับไป เพียบ…เพียงเท่านี้ ร่างกายและจิตใจของคุณก็ได้พลังเต็มเปี่ยมและพร้อมที่จะเผชิญกับงานหนักอีกครั้งหนึ่งแล้ว…

 

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update 18-01-53

 

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code