ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคกลาง

เดินทางใกล้ ๆ ก็สุขใจ คลายเครียดได้

 

หลังจากไปรับลมหนาวกันที่สี่จังหวัดภาคเหนือกันมาอย่างจุใจแล้ว แต่ความรู้สึก และความต้องการที่จะพักผ่อนยังไม่จางหาย อยากที่จะซึมซับความสนุกสนาน สวยงาม และบรรยากาศเพิ่มเติมแล้วละก็ ลองมองหาสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ ตัว ที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไกล ๆ อย่างภาคกลาง ท่องเที่ยวดู!! …แต่หากคิดเท่าไร ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ไม่ต้องกังวล…วันนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีสถานที่พักกาย พักใจ ใกล้ๆ ตัวที่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในวันเสาร์และอาทิตย์มาฝากเอาใจคนรักการท่องเที่ยวให้ได้ไปสัมผัสกัน^^

 

ประเดิมที่แรกด้วยจังหวัดกรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมร โดยเริ่มต้นเช้าของการท่องเที่ยวที่เวลา 07.00 น.เพื่อไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอย่างศาลหลักเมืองที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือ รัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าให้กระทำพิธียกเสาหลักเมืองขึ้น และการสร้างเสาหลักเมืองในครั้งนี้เอง ทำให้เกิดเรื่องเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงตำนาน อิน จัน มั่น คงที่ว่า ในพิธีสร้างพระนคร ต้องทำพิธีฝังอาถรรพ์ 4 ประตูเมือง และ พิธีฝังเสาหลักเมือง ซึ่งการฝังอาถรรพ์นั้นต้องกระทำด้วยการป่าวร้องเรียกผู้คนที่มีชื่อว่า  อิน-จัน-มั่น-คง ไปทั่วเมือง เมื่อชาวเมืองที่มีชื่อดังนี้ขานรับ ก็จะถูกนำตัวมาสถานที่ทำพิธี และถูกจับฝังลงหลุมทั้งเป็น ทั้ง 4 คน เพื่อให้วิญญาณของคนเหล่านั้นอยู่เฝ้าหลักเมือง เฝ้าประตูเมือง เฝ้าปราสาท คอยคุ้มครองบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรูและปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บมิให้เกิดแก่คนในนคร แต่อย่างไรก็ตามเรื่องเล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ไม่มีบันทึกในพงศาวดารนะคะ

 

ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคกลาง 

 

จากนั้น เวลา 08.00 น. ก็อย่าลืมแวะไปกราบนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกตที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว เพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเองและครอบครัว พร้อมทั้งเดินชมความสวยงามของประติมากรรม และจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง รามเกียรติ์ ที่เรียงรายอยู่ทั้ง 4 ทิศ สำหรับคนที่พกกล้องถ่ายรูปไปด้วยก็ควรระมัดระวังเรื่องการบันทึกภาพ เพราะบางสถานที่ห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาด และไม่ควรใช้แฟลชในการถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พระระเบียง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายกับภาพจิตกรรมได้ และที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด คือการแต่งกาย ที่ต้องสุภาพ และห้ามสวมเสื้อเปิดไหล่ทุกชนิด ห้ามสวมกางเกงหรือกระโปรงที่มีชายสูงกว่าเข่าทุกชนิด รองเท้าที่เปิดส้นทุกชนิด รวมไปถึงกางเกงยีนส์ขาด ๆ อีกด้วย

 

ไหว้พระขอพรเรียบร้อยแล้ว เวลา 13.00 น. ก็ย้อนกลับไปรำลึกถึงอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์ที่เขาดินวนา หรือที่คุ้นกันในชื่อสวนสัตว์ดุสิต จากนั้นเวลา 16.00 น. แวะไปรับประทานอาหารที่ตลาดน้ำตลิ่งชันที่ยังคงวิถีชีวิตความเป็นชาวสวนริมคลอง มีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือขายอาหาร ผักผลไม้ต่างๆ ทั้งบนโป๊ะและในคลอง อาทิ ก๋วยเตี๋ยว ขนมไทย ผลไม้ต่างๆ มากมายมีให้เลือกอย่างอิ่มหนำสำราญเลยทีเดียว

 

แต่หากใครเบื่อรถติด มลพิษบนอากาศอย่างกรุงเทพแล้ว จะลองไปเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสงครามดูบ้างก็เก๋ไปอีกแบบ และที่สำคัญหากวันไปเที่ยวของเราตรงกับวันขึ้น 2 ค่ำ, 7 ค่ำ, 12 ค่ำ และ วันแรม 2 ค่ำ, 7 ค่ำ, 12 ค่ำ แล้วล่ะก็ ควรรีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อไปเที่ยวตลาดน้ำท่าคาให้ทันในเวลา 08.00 น. เพราะตลาดน้ำแห่งนี้ ถือว่าเป็นตลาดนัดโบราณแห่งเดียวในเมืองไทยก็ว่าได้ ที่พ่อค้าแม่ค้าจะนัดกันมาขายของแบบแปลกๆ ไม่เหมือนใคร คือเป็นการนัดขายของกันโดยดูวันจากข้างขึ้น ข้างแรม เป็นตัวกำหนด ไม่ได้นัดกันมาขายตามวันจากปฏิทินสากล ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหนในประเทศไทยอีกแล้ว

 

 ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคกลาง

 

เสร็จจากตลาดน้ำท่าคา เวลา 10.00 น. ก็อย่าลืมแวะไปเที่ยวชม อาสนวิหารแม่พระบังเกิด โบสถ์คริสต์ ที่ภายในประดับด้วยกระจกสี มีรูปปั้นธรรมาสน์เทศน์ อ่างล้างบาป ขาเทียนลักษณะต่าง ๆ และรูปแกะสลักบรรยายเกร็ดประวัติในพระคัมภีร์คริสตศาสนา ซึ่งมีความสวยงามน่าประทับใจอย่างมาก จากนั้น เวลา 13.00 น. เดินทางไปค่ายบางกุ้ง เพื่อชม โบสถ์ปรกโพธิ์ ซึ่งเป็น 1 ในอันซีนอินไทยแลนด์ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ซึ่งโบสถ์ปรกโพธิ์นี้สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ต่อมาจึงถูกปกคลุมด้วยรากไม้ใหญ่ทั้งต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง ที่เลื้อยพันธ์ตัวโบสถ์และพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ด้านใน และถูกปรกคลุมด้วยต้นไม้ดังกล่าวข้างต้นในที่สุด

 

หลังจากที่เที่ยวชมสถานที่สวยงาม น่าตื่นตา ตื่นใจจนรู้สึกเหนื่อยแล้ว เวลา 16.00 น. ก็มาพักรับประทานอาหารและเยี่ยมชมวิถีชีวิตริมน้ำที่ตลาดน้ำอัมพวา ซึ่งในคลองอัมพวาจะมีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือขายอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ หอยทอด ก๋วยเตี๋ยว กาแฟ โอเลี้ยง ขนมหวานต่างๆ  และมีรถเข็นขายของบนบก พร้อมด้วยบรรยากาศสบาย ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมและหาซื้ออาหารรับประทานได้อีกด้วย

 

            ส่วนใครที่ไปเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสงครามบ่อยแล้ว จะลองหันไปตามรอยวรรณคดีเลื่องชื่อ ขุนช้าง ขุนแผนที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็ดูเข้าทีไปอีกแบบ เริ่มออกสตาร์ทกันที่เวลา 08.00 น. เพื่อไปไหว้พระที่วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร นมัสการ หลวงพ่อโตซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารสูงเด่นเห็นแต่ไกล พร้อมกันนี้ก็อย่าลืมเดินไปทางด้านหลังวัดเพื่อชม คุ้มขุนช้างเรือนไทยไม้สักหลังใหญ่กว้างขวาง ตามบทพรรณนาเรือนของขุนช้างในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ขึ้นไปบนเรือนจะเห็นฉากภาพวาดตัวละครขุนช้างสำหรับให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเป็นที่ระลึก บนเรือนแต่ละห้องมีภาพบรรยายเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน มีตู้จัดแสดงภาชนะเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากกั้นหรือถ้วยโถโอชามเก่าแก่แบบต่างๆ ให้ได้ชมกันอย่างเต็มอิ่ม

 

 ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคกลาง

 

            เวลา 10.00 น. แวะสักการะบูชาและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนเรศวรที่อนุสรณ์ดอนเจดีย์ พระนเรศวร จากนั้น เวลา 15.00 น. แวะไปหาซื้อของกิน ของฝากกันได้ที่ ตลาดร้อยปี ตลาดสามชุก ซึ่งเป็นตลาดห้องแถวไม้ 2 ชั้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี รายล้อมด้วยบรรยากาศของบ้านเรือนรวมถึงเรื่องราวของผู้คนในอดีต แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ โดยแทบไม่มีการดัดแปลงเสริมแต่ง เรียกได้ว่าอิ่มทั้งกาย อิ่มทั้งใจเลยทีเดียว

 

สำหรับใครที่ชอบอยู่บนที่สูง เวลา 17.00 น. ก็อย่าลืมแวะไปที่หอคอยบรรหาร-แจ่มใส ซึ่งเป็นหอคอยแห่งแรกและสูงที่สุดในประเทศไทย มีความสูงถึง 123 เมตร มีชั้นสำหรับชมวิวในระดับสูงสุดถึง 78.75 เมตรเลยทีเดียว นอกจากนี้บนหอคอยยังได้มีการติดตั้งกล้องส่องทางไกลไว้รอบด้าน มีร้านขายของที่ระลึกและอาหารว่าง มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเมืองสุพรรณบุรี ทั้งด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดี ศิลปวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและเรื่องราวน่ารู้ของจังหวัดสุพรรณบุรีให้นักท่องเที่ยวไว้ชมทั้งหมด

 

และปิดท้ายกันที่จังหวัดสมุทรปราการ เริ่มกันที่ เวลา 08.00 น. ไปไหว้พระขอพรที่วัดบางพลีใหญ่ ซึ่งภายในอุโบสถมี หลวงพ่อโต พระพุทธรูปองค์ใหญ่สมัยสุโขทัยปางมารวิชัยลืมเนตร ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนโดยทั่วไป ทำให้วัดนี้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า วัดหลวงพ่อโต และเมื่อไหว้พระขอพรเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมแวะไปช็อป ไปชม ไปชิมกันต่อที่ตลาดน้ำโบราณบางพลี ซึ่งถือเป็นตลาดน้ำประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ที่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่ดีงาม ซึ่งในสมัยก่อนนั้น สุนทรภู่ได้เขียนคำกลอนเพื่อกล่าวถึงตลาดน้ำแห่งนี้ไว้ว่า ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระ ดูระกะดาษทางไกลไปกลางทุ่ง เป็นเลนลุ่มลึกเหลวเพียงเอวพุง ต้องลากจูงจ้างควายอยู่รายเรียง ดูเรือแพแออัดอยู่ยัดเยียด เข้าเบียดเสียดแทรกกันสนั่นเสียง แจวตะกูดเกะกะประกะเชียง บ้างทุ่มเถียงโดนดุนกันวุ่นวายจากคำกลอนนี้ก็ทำให้คนรุนหลัง มองภาพของตลาดน้ำแต่เดิมได้เป็นอย่างดี

 

ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคกลาง 

 

จากนั้น เวลา 13.00 น. แวะไปเที่ยวกันที่ เมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่รวบรวมสถานที่สำคัญๆ ของแต่ละจังหวัด อาทิ เขาพระวิหาร ปราสาทหินพนมรุ้ง วัดมหาธาตุสุโขทัย พระพุทธบาทสระบุรี พระธาตุเมืองนคร พระธาตุไชยา ฯลฯ โดยสร้างให้มีขนาดเล็กลง ให้นักท่องเที่ยวได้แวะภาพกันอย่างจุใจ เสมือนว่าได้ไปหลายจังหวัดเลยทีเดียว

 

หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการท่องเที่ยวมาทั้งวันแล้ว ท้องก็เริ่มหิวอีกครั้ง เวลา 17.00 น. ก็แวะไปรับประทานอาหารรสล้ำที่สถานตากอากาศบางปู ซึ่งเป็นสถานตากอากาศที่มีชื่อเสียงมาเป็นเวลานาน ภายในมีสวนไม้ดอกไม้ประดับ มีร้านอาหาร ที่สำคัญหากใครได้ไปเที่ยวที่สถานที่แห่งนี้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ก็จะมีโอกาสได้ชมภาพของฝูงนกนางนวลที่อพยพมาหากินอยู่ตามชายทะเล ซึ่งเป็นธรรมชาติที่สวยงามน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

 

จะเก็บความเครียดไว้ทำไม ไปปลดปล่อยกันดีกว่า…รู้ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ตัวที่รอเราอยู่ขนาดนี้ จะมัวรอช้าอยู่ทำไม รีบไปเก็บเกี่ยวและบันทึกภาพความประทับใจ เพื่อชาร์จพลังให้กับร่างกายให้พร้อมเผชิญกับงานหนักหน่วงกันดีกว่าLet’s go…^^

 

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update 01-02-53

 

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ