ชวนเยาวชนออกค่ายสร้างเสริมสุขภาพชุมชน
หวังปลูกฝังนิสัย-ความรับผิดชอบ
ถ้าจะย้อนไปดูบทบาทของภาครัฐหมายถึงกระทรวง กรม กองต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนให้ประชาชนคนไทยตระหนักถึงความสำคัญเรื่องสุขภาพทั้งกายและใจแล้วถือว่าให้การเอาใจใส่ไม่น้อยทีเดียว
องค์กรเอกชนเองก็ขานรับในส่วนของรัฐบาลนั้นให้ความสำคัญกับการรณรงค์ให้ประชาชนเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกฝังเยาวชนตระหนักถึงความสำคัญด้านสุขภาพผ่านทั้งกระทรวงที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ถ้าใครจะย้อนไปดูบทบาทและผลงานของ สสส.กับการรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญในเรื่องนี้มีมากหลากหลายโครงการ เป็นการดำเนินการที่ให้ประชาชน ชุมชนเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างสำนึกปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้ร่วมกันรับผิดชอบตัวเองและสังคม
อย่างโครงการ เด็กไทยอ่อนหวานใกล้กันอีกนิดนะพ่อ เป็นต้นทุกกระบวนการมีประชาชน ภาคราชการ ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมทั้งสิ้นเฉพาะอย่างยิ่งขาดไม่ได้คือเยาวชน
ทุกโครงการปลูกฝังการนำไปสู่การดำรงรักษาเงิน รักษาทรัพย์ รักษาสติรักษาปัญญา รักษาศรัทธา มีความสุขอย่างยั่งยืนทั้งครอบครัว ทั้งชุมชนและทั้งประเทศ
หรือกระทั่งโครงการเรียงความ “เล่าฝันวันของหนู” ถึงพ่อผ่านไปรษณีย์ เป้าหมายก็เพื่อความสุขอันเกิดจากความเข้าอกเข้าใจกันและกัน
ขณะนี้มีโครงการ โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง ร่วมกับ สสส.เชิญชวนนิสิตนักศึกษาทุกสถาบันการศึกษา เสนอโครงการค่ายอาสาพัฒนาสร้างเสริมสุขภาพเพื่อขอรับทุนสนับสนุนกิจกรรม
นิสิตนักศึกษาทุกสถาบันมีโอกาสเสนอโครงการอย่างเท่าเทียมกัน เป็นโครงการที่ออกค่ายอาสาเพื่อไปสู่ชุมชนนำความรู้ความเข้าใจไปเผยแพร่ให้ชุมชนได้รับรู้ถึงผลดีต่อการดูแลเอาใจใส่เกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อนำไปสู่ความสุขทั้งกายและใจ
ผลดีอีกอย่างที่ถ้าไม่สนใจก็จะมองไม่เห็นความสำคัญ นั่นคือจะทำให้เกิดการดำเนินชีวิตด้วยวิถีแห่งเศรษฐกิจพอเพียง เพราะถ้าสุขภาพกายและใจดีก็ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปรักษาไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากินนี้คือความสุขจริงๆ
ถ้าไม่ใส่ใจสุขภาพล่ะ ก็แน่นอนผลเสียเกิดขึ้นตรงกันข้ามกับที่บอกไว้ข้างต้น
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่เวลานี้ ก่อให้เกิดการลืมเลือนด้านการเอาใจใส่เกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะชุมชนที่คนส่วนใหญ่ต้องหาเช้ากินค่ำ ปากกัดตีนถีบ การให้เยาวชนอย่างนิสิตนักศึกษามีโอกาสนำเอาความห่วงใยผ่านความรู้ด้านการดูแลสุขภาพ กระตุ้นให้ประชาชนในแต่ละชุมชนสามารถดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้น จนที่สุดอนาคตจะได้มีส่วนร่วมขยายการเอาใจใส่ด้านสุขภาพไปสู่ชุมชนอื่นก็น่าจะทำให้เกิดประโยชน์ยิ่งๆ ต่อไป
การที่องค์กรที่เป็นตัวแทนภาครัฐเปิดโอกาสให้เกิดการมีส่วนร่วมโดยเห็นความสำคัญการเสริมสร้างสุขภาพอย่างเป็นระบบผ่านการประชาสัมพันธ์ไปสู่สังคมวงกว้างจึงนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นที่คาดหวังว่าในอนาคตอันใกล้คนไทยทั้งประเทศจะมีสุขภาวะอย่างสมบูรณ์ที่สุด
แต่นั่นหมายถึงโอกาสต่างๆ ต้องมีการเปิดประตูสนับสนุนอย่างจริงจังและจริงใจจากรัฐบาลสู่ทุกภาคส่วนเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน
อย่างโครงการของมูลนิธิโกมลคีมทอง กับ สสส.เปิดรับสมัครนิสิตนักศึกษาทุกสถาบันอยู่เวลานี้ เปิดไปจนถึงสิ้นเดือนมกราคม 53
ชมรม/สโมสร/คณะ หรือกลุ่มอิสระต่างๆ ทุกสถาบันการศึกษาที่สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.dek-kai.org
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
Update 03-02-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์