ชวนเขียน ‘เรื่องเล่า’ เปลี่ยน ‘เรา’ เปลี่ยนสังคม
เชื่อว่า หลายครั้งของการอ่านหนังสือหรืออ่านบทความดีๆ ช่วยให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจ และส่งผลให้เรา “เปลี่ยน” แปลงพฤติกรรมไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เช่นนั้น นักเขียนชาวไอริชอย่าง เซอร์ ริชาร์ด สตีลล์ คงไม่กล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าการออกกำลังเป็นเรื่องของร่างกาย การอ่านก็เป็นเรื่องของจิตใจ”
ดังนั้น ตามสำนวนไทยที่ว่า ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ก็ย่อมจะมีนัยยะได้ว่า หากจิตใจเข็มแข็ง รู้คิด รู้ทำ รู้แยกแยะในเรื่องผิดชอบชั่วดี พฤติกรรมก็ย่อมส่งผลสะท้อนออกมาเช่นเดียวกับใจ โดยหากมองย้อนกลับสักนิด จะเห็นว่า เรื่องเล่าต่างๆ ที่เรียงร้อยขึ้นมาเป็นประโยคต่อกัน คงไม่สามารถ “มี” ขึ้นได้ ถ้าไม่มี ‘ผู้เขียน’
สำหรับสังคมไทย คนส่วนมากมักจะเข้าใจว่าเรื่องของ ‘การเขียน’ เป็นเรื่องการสร้างสรรค์ ‘สื่อ’ ของนักเขียน นักข่าว และบุคคลผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น หากแต่ในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา มีการใช้การเขียนในวงการแพทย์ เพื่อเล่าเรื่อง (Narrative Medicine) ซึ่งเป็นประสบการณ์จริงของผู้ที่ทำงานในวงการสุขภาพด้วย
โดย นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ เคยให้ความเห็นถึงพลังของการเขียนและคุณค่าของเรื่องเล่าไว้ว่า เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่ง ที่ทำให้เกิด “ความหมาย” หรือ “นัยยะ” ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่คำถาม-คำตอบของที่มาแห่งความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากคุณค่าของเรื่องเล่าเหล่านั้น ช่วยสะท้อนชีวิต ปลุกจิตวิญญาณ ความเชื่อมั่น ความเอื้ออาทร ทั้งในหัวใจของคนเขียน และคนอ่านได้จริง
ล่าสุดในแวดวงจิตอาสาเพื่อสังคม โดย ธนาคารจิตอาสา (JitArsa Bank) ก็กำลังจะจัดกิจกรรม “อาสาร่วมเขียนบทความ” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ รวมถึงแบ่งปันเรื่องราวที่มีคุณค่าสู่สังคมเช่นกัน
เรื่องเล่าบันดาลใจ
คุณเพ็ญ เพ็ญจุรี วีระธนาบุตร อาสาสัมพันธ์ ประจำธนาคารจิตอาสา เล่าถึงโครงการนี้ว่า ในวงการอาสา เรื่องเล่าหรือเนื้อหาดีๆ มีเยอะ เพราะสังคมเราไม่ได้ขาดข่าวหรือเรื่องเล่าดีๆ แต่ที่ไม่ค่อยเห็นกัน เป็นเพราะไม่ค่อยมีใครเอามาพูดถึงให้รับรู้กันเสียมากกว่า ดังนั้น หากมีการนำเสนอออกมา มีคนช่วยเขียน ก็น่าจะมีส่วนช่วยเติมเรื่องราวดีๆ ให้กับสังคมได้
“เรื่องที่ดีควรจะต้องให้กำลังใจหรือสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอ่าน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยาก หรือคนที่ดีมากๆ เท่านั้นที่จะทำได้ แต่อยากให้เป็นเรื่องที่คนทั่วไปเข้าถึง อ่านได้ แล้วเป็นแรงบันดาลให้ทุกคนเห็นว่า งานอาสาเป็นโมเมนต์ที่คนธรรมดา คนที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีมาก หรือมีเงินมาก ก็มาช่วยเหลือกันได้ ยกตัวอย่างเรื่องเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน มีพี่ผู้ชายขี่รถมอเตอร์ไซค์ขึ้นสะพานไป แล้วไปเจอลูกแมวพลัดหลงอยู่ เลยจอดรถ แล้วก็โบกให้รถคันอื่นชะลอลงเพื่อไปช่วยแมว นี่ก็เป็นการทำความดีแล้ว”
ขอแค่เราไม่อยู่เฉย ไม่นิ่งดูดาย เราทุกคนทำได้ แค่ลงมือทำ!
ศิลป์กับงานอาสา
หากมีคำกล่าวที่ว่า ศิลปะช่วยให้จิตใจของผู้คนอ่อนโยนขึ้น แล้วงานจิตอาสาที่ช่วยให้หัวใจคนนุ่มนวลขึ้นด้วย มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร อาสาสัมพันธ์สาวคนเก่งตอบว่า
“เป็นเรื่องเดียวกัน”
ก่อนจะขยายความเพิ่มเติมว่า “จริงๆ อาจบอกได้ว่าการทำงานจิตอาสากับศิลปะเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็นเรื่องที่ธนาคารจิตอาสาให้ความสำคัญ เพราะเราไม่ได้มองว่า การทำงานจิตอาสาเป็นงานที่ต้องใช้แรงงานอย่างเดียวเท่านั้น คนที่เดินทางมาทำงานอาสา ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาเอง ล้วนเดินทางมาด้วยน้ำใจ เพื่อมาทำสิ่งดีๆ และรู้ว่า สิ่งที่ตนทำนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ขณะทำ ก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ทั้งตัวเราเองและเพื่อนที่มา ได้เห็นค่าของสิ่งที่ทำว่าจะส่งผลแก่ผู้อื่นอย่างไร ทุกกิจกรรมที่ทำมา จึงไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่เป็นเรื่องที่ให้คุณค่าทางจิตใจ เป็นสิ่งที่ค่อยๆ ขัดเกลาเราให้รู้จักการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน และด้วยพลังของการแบ่งปั้นนี้แหละ ที่ทำให้หัวใจคนอ่อนลง”
พลังของการเขียน
“งานเขียนทำให้คนได้ใส่ใจกับตัวเอง” คุณเพ็ญจุรีบอก “นอกเหนือจากงานเขียนก็ยังมีอีกหลายรูปแบบที่สามารถนำมาใช้สื่อสารกับสังคมได้ ขึ้นอยู่กับความสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคล หากแต่การเขียนเป็นการสื่อสารที่ต้องอาศัยความใส่ใจ มีสมาธิ ช่วยให้ผู้เขียนได้กลั่นกรองเรื่องราวก่อนที่จะส่งต่อ”
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ขอยกเรื่องเล่าของสาวไต้หวันอย่าง หวาง เหม่ย เหลียน (Huang Meilian) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตสาว จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ผู้มีสมองพิการแต่กำเนิด จึงไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามปกติ หากแต่ด้วยความสามารถและมุ่งมั่น เธอจึงได้รับเชิญให้ไปสอนและบรรยายด้วยการเขียน ให้ความรู้และส่งต่อแรงบันดาลใจแก่ผู้คน
หลังการบรรยายครั้งหนึ่ง มีนักเรียนถามเธอว่า “น้อยใจบ้างหรือไม่ที่เกิดมาแบบนี้” “คุณทนมองดูตัวเองได้อย่างไร”
แน่นอนคำถามซึ่งกระทบกับความละเอียดอ่อนของชีวิต สร้างความตกตะลึงแก่ที่ประชุมไม่น้อย หากแต่ หวาง เหม่ย เหลียน หันหน้าไปยังแผ่นกระดาน แล้ว ‘เขียน’ คำถามที่ว่า ”คุณทนมองดูตัวเองได้อย่างไร” อย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วหันกลับมายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม ก่อนจะเขียนข้อความต่อว่า
“1.ฉันน่ารักมาก 2.ขาฉันเรียวยาวสวยดี 3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง 4.พระเจ้าประทานรักแก่ฉัน 5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้ 6.ฉันมีแมวที่น่ารัก” ก่อนจะเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดานว่า “ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด” หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงปรบมือดังสนั่นในที่ประชุมดังขึ้นพร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลายๆ คน
ถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่า เรื่องเล่าจากการเขียน จะช่วยเปลี่ยนเรา เปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้นได้อย่างไร คงฉายภาพชัดเจนขึ้นในหัวใจของคุณแล้ว
เรื่องโดย: ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ Team Content www.thaihealth.or.th
หมายเหตุ : หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่ชอบจดบันทึกเรื่องราว และมีทักษะของการเขียนอยู่บ้าง ขอเชิญร่วมเติมพลังสังคมด้วยเรื่องราวที่น่าประทับใจ และสามารถสร้างสรรค์สังคมได้ ตั้งแต่ 2 มีนาคม – 30 เมษายน 2557 โดยสามารถสมัครผ่านระบบธนาคารจิตอาสา จากนั้นส่งจดหมายแนะนำตัวเองและตัวอย่างผลงานบทความ 2 ชิ้นที่เคยทำหรือเขียนขึ้นใหม่ในสไตล์ธนาคารจิตอาสา (ความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 font ขนาด 16) มาที่ [email protected] ภายในวันที่ 2 มีนาคม 2557 เวลา 23.59 น. แล้วทีมงานจะนัดประชุมกับอาสาที่ได้รับการคัดเลือกตามวันและเวลาที่แจ้งในภายหลังค่ะ