ที่มา : เว็บไซต์เดลินิวส์

แฟ้มภาพ

จิตแพทย์ แนะครูต้องมีเทคนิคดึงเด็กสนใจเรียนรู้ หลีกเลี่ยงใช้ความรุนแรงกับเด็ก เพราะอาจกลายเป็นซึมเศร้า หวาดกลัวสังคม หรือเป็นคนชอบใช้ความรุนแรงเมื่อเติบโตขึ้น

พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ รองผอ.สถาบันสุขภาพจิตและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงปัญหาเด็กเล็กถูกกระทำรุนแรงในโรงเรียนว่า เรื่องนี้ในอนาคตอาจส่งผลบ่มเพาะในเด็กโตขึ้นมี 2 ลักษณะ คือ 1.ไม่กล้าสู้คน เพราะถูกรังแกแต่เด็ก กลายเป็นซึมเศร้า 2.โตขึ้น กลายเป็นคนที่ชอบใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา เพราะเรียนรู้ในวัยเด็ก ซึ่งผู้ปกครองสามารถสังเกตหากเด็กถูกกระทำรุนแรงในโรงเรียนมี เช่น สังเกตตามร่างกาย หรือ สังเกตจากการพูดคุย อาทิ เด็กพูดน้อย หวาดกลัว หรือความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองลดลง เช่น จากการปัสสาวะเองได้ กลับมากลายเป็นปัสสาวะรดที่นอน, นอนผวา, หวาดกลัวง่าย การพูดคุยกับลูกในวัยเด็ก ควรมีทุกวันไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาก่อน ซึ่งการคุยทำให้พ่อแม่ลูกใกล้ชิดกันมากขึ้น

พญ.วิมลรัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนการปรับแก้พฤติกรรมของเด็ก หากดื้อซนในโรงเรียนนั้น ขอยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องโต้ตอบหรือ แก้ไขพฤติกรรมของเด็กด้วยความรุนแรง เพราะความดื้อซนในวัยเด็ก เกิดจากการทำกิจกรรมที่ซ้ำๆ ไม่สนุก หรือเป็นเพราะร้อน หิว เบื่อ ซึ่งเป็นธรรมดาในวัยเด็ก จะต้องจูงใจด้วยพฤติกรรมเชิงบวก สอนชวนคุยให้สนุก ทำกิจกรรมแบบสนุกสนาน น่าสนใจ เด็กก็ทำตามได้โดยไม่ต่อต้าน ไม่ใช่ข่มขู่ ลงโทษซึ่งจะยิ่งทำให้เด็กต่อต้าน

พญ.วิมลรัตน์ กล่าวด้วยว่า ส่วนในผู้ใหญ่ที่ชอบรังแกเด็ก หรือกระทำรุนแรง เหมือนผู้ใหญ่บางคน ชอบแหย่เด็ก แหย่สัตว์ เรื่องแบบนี้ อาจเป็นความผิดปกติได้ตั้งแต่ทางจิต หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ แต่เป็นการบ่มเพาะเรียนรู้ในวัยเด็กของแต่ละบุคคล มีการใช้ความรุนแรง ส่วนที่อ้างเรื่องความเครียด เลยกระทำรุนแรงกับเด็กนั้น ต้องยอมรับว่าคนที่มีความเครียด การควบคุมตัวเองมักทำได้น้อยกว่าคนปกติอยู่แล้ว แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เหตุผลที่ต้องมากระทำรุนแรงกับผู้อื่น ต้องมีการจัดการกับความเครียดของตนเอง ไม่ใช่ระบายคนกับอื่น เช่น การออกกำลังกาย การพบจิตแพทย์ เป็นต้น