จัดสรรปันน้ำ อยู่ร่วมจึงรอด

 

ตำบลชากไทย กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี มีกิจกรรมการเชื่อมโยงกับกลุ่มระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยเจ้าของสวนมีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายการจัดการน้ำระดับหมู่บ้าน เป็นการร่วมใช้น้ำจากบ่อน้ำธรรมชาติที่มีอยู่ในตำบล ทำท่อส่งน้ำไปตามสวนของสมาชิก และได้มีการกำหนดข้อตกลงการใช้น้ำร่วมกัน ทำให้ชาวบ้านในชุมชนมีน้ำใช้ในสวนตลอดทั้งปี ต่างจากเมื่อก่อนที่มีการแก่งแย่ง เพื่อเอาน้ำมาไว้ใช้ คล้ายมือใครยาวสูบได้สูบเอา

ชาวบ้านตำบลชากไทย ส่วนใหญ่ยึดอาชีพหลักคือการทำการเกษตรจำพวกผลไม้ เช่น การทำสวนมังคุด สวนทุเรียน สวนเงาะ ผลไม้เหล่านี้เป็นที่ต้องการ มีการส่งออกทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้ชาวสวนมีชีวิตที่ดีจึงขึ้นอยู่กับน้ำในการทำเกษตรหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของคนชากไทย

ประวิทย์ หนูเชื้อเรียง อดีตกำนัน เล่าว่า “เมื่อก่อนชาวบ้านต่างคนก็ต่างเอาเครื่องสูบน้ำมาดูดน้ำจากบ่อไป ต่างคนต่างแย่ง จากมีบ่อเดียว ขุดเพิ่มสองบ่อ ก็ยังไม่พอ สามบ่อก็ยังไม่ไหว คนที่ใกล้หน่อยก็สบายมือ ผมมานั่งคิดว่า จะทำอย่างไรดี พอดีมีเงินเอสเอ็มแอลมาจากการพูดคุยของชาวบ้านในเวทีประชาคมก็คิดว่า อย่างนั้นใช้เครื่องสูบน้ำเครื่องเดียวได้ไหม แล้วจัดสรรปันส่วนกันให้ดี จัดเป็นคณะกรรมการขึ้นมา มีระบบกฎเกณฑ์ไม่ใช่มาดูดทั้งวันทั้งคืนจนน้ำแห้งเหมือนเมื่อก่อน”

“คนเรามันเห็นเก่ตัว ก็สูบไปกักตุนไว้ก่อน หลังๆ เป็นระบบบริหารจัดการแล้ว ก็ต้องยอมรับ เพราะเรามีกติกามีคณะบริหาร มีการประชุมเสมอภาคกันหมด จะได้ไม่ทะเลาะกัน เมษายนน้ำแห้งจริงๆ ค่อยมาสูบกัน ค่าไฟก็เดือนละร้อยกว่าบาทหารกันไป” ประวิทย์เสริม

ตอนนี้คนชากไทยมีน้ำใช้ทั้งหมดสามบ่อ แบ่งเป็นบ่อเกษตร บ่อประปาอุปโภคบริโภค และบ่อเลี้ยงสัตว์ โดยครั้งนั้นใช้เงินไปสามแสนบาท ซื้อท่อไปสองแสนแปดหมื่นบาท พอชุมชนแก้ปัญหาร่วมกัน มีส่วนร่วม มันคือสิ่งที่มาเยียวยา จากเดิมหน้าแล้ง  น้ำแห้งหมด เดี๋ยวนี้น้ำยุบไปไม่มากเท่าไร

“น้ำสำคัญมากต่อการเกษตร พอแหล่งน้ำบริบูรณ์ เราก็มาสนใจเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ต่อ สมัยก่อนคิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไร ผลผลิตจะเยอะ คิดกันแค่นั้นไม่ห่วงสภาพแวดล้อม ผมก็เป็นมะเร็ง เพิ่งทำคีโมมา เกิดจากการสะสมของสารเคมี กินผักผลไม้ที่ ฉีดสารเคมีเข้าไป มันมีผล นอกจากนี้เมื่อก่อนป่าเสื่อมโทรมมาก ตัดต้นไม้กันตอนนี้ ชาวบ้านเห็นความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ช่วงนี้ดินชุ่มน้ำมากขึ้น เห็ดของป่ามีให้เราเก็บกิน นี่คือการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่หมู่บ้าน ปัญหาแล้งหมดไปแล้ว แต่ถ้าระดับใหญ่ขนาดตำบล มันใหญ่กว่า เพราะชากไทยไม่มีน้ำไหลผ่าน สมัยก่อนแย่มาก แล้งมาก ต่อไปในอนาคต เราคาดว่า อาจมีปัญหาแล้งเกิดขึ้นอีก จึงมีโครงการขุดบ่อเพิ่มขยายออกไปอีก เพราะคนเริ่มใช้มากขึ้น สมัยก่อนงบมันไม่พอ” ประวิทย์เล่าต่อ

โดยความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน สืบเนื่องจากการเชื่อมั่นในผู้นำที่ทำจริง หากหน้าที่ต่างๆ ถูกจัดสรรกันไป ซึ่งเป็นเครื่องประกันว่า หากวันหนึ่งประวิทย์ไม่อยู่ตรงจุดนี้ สิ่งที่เริ่มมาก็จะไม่เป็นอัมพาต การจะใช้คนนอก แต่ใครจะเชื่อ เพราะปัญหามันเกิดในหมู่บ้านของเราเอง จนวันนี้ ไม่มีการแอบมาสูบน้ำแล้ว และหากมีพบเห็น ก็จำต้องตักเตือนกัน ด้วยมีกฎกติกาเดียวกัน ทั้งนี้ แม้จะไร้ปัญหา แต่ก็ยังต้องมีคณะกรรมการคุมอยู่ เพราะนอกจากจะช่วยดูแลความเรียบร้อยแล้ว ยังได้ทำงานต่อในส่วนแผนงานขยายในอนาคต

“มีคนมาดูงานเยอะ คือถ้ามีแหล่งน้ำแล้วตกลงกันได้ที่ไหน ก็ทำได้ วางท่อไปเลย บางที่มีแหล่งน้ำ แต่คนที่ครองที่ดินไม่ยอมให้ผ่านที่ของตัว คนข้างในก็เดือดร้อน สำคัญทุกคนต้องมีส่วนร่วม ความร่วมมือรวมกลุ่มกันให้ได้ จะหวังให้ราชการมาช่วยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรวมกลุ่มกันให้ติดก่อน นอกจากนี้ เป้าหมายต่อไปของทุกคน คือทำแหล่งน้ำแห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์” ประวิทย์สรุป

อีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลพลอยได้และจะเป็นรากฐานสำคัญในอนาคต คือการที่ชาวบ้านกลับมามีความสามัคคีปรองดองกันเช่นเดิม ทำให้สมาชิกในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการภายในพื้นที่มากขึ้น

 

 

 

ที่มา : สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สน.3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

Shares:
QR Code :
QR Code