งานบุญศรีสะเกษปลอดเหล้า ลดเงินลงขวด 76 ล้านบาท แถมลดทะเลาะวิวาท
“ร่วมงานแต่ง เฮงานบวช ช่วยงานขึ้นบ้านใหม่ หรือแม้แต่ไปร่วมเสียใจงานศพ ล้วนได้อานิสงส์งานบุญทั้งสิ้น แต่กลับมาเมาหัวราน้ำ ทะเลาะวิวาท แทนที่จะได้บุญกลับได้บาปแทน”
นอกจากนี้บุญเปลี่ยนเป็นบาปแล้ว เม็ดเงินอีกจำนวนมากที่ต้องไหลออกจากกระเป๋าไปลงขวด ค่าใช้จ่ายสำหรับซื้อน้ำเมามาเลี้ยงแขกอย่างน้อยงานละ 30,000-50,000 บาทเลยทีเดียว
งานเดียวหลายหมื่น แล้วหากหลายงานละจะเป็นยอดเงินเท่าใด
วันนี้จังหวัดศรีสะเกษได้เริ่มโครงการดีๆ จนช่วยประหยัดเงินลงขวดอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
“งานอวมงคล เช่น งานศพ และมงคลเช่น งานแต่งงาน งานบวช งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานปีใหม่ งานเฉลิมฉลอง งานเทศกาลผลไม้ ฯลฯ ที่เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553จนถึงขณะนี้ เป็นงานปลอดน้ำเมาอย่างแท้จริง ทั้งหมด 3745 กิจกรรม ภายใต้โครงการจังหวัดศรีสะเกษงานบุญปลอดเหล้า เทิดพระเกียรติ 84 พรรษามหาราชา การรวมใจทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2554 ทำให้ทั้งจังหวัดประหยัดเงินได้มากถึง 76,601,183 ล้านบาท”คำยืนยันจากปากของนายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ หัวเรือใหญ่สนับสนุนโครงการดีๆเช่นนี้
ยอดเงินที่ประหยัดนี้มาจากการร่วมแรงร่วมใจของชาวศรีสะเกษจัดงานบุญปลอดน้ำเมาที่ท่านผู้ว่าฯ เผยว่า จาก 2,314 หมู่บ้านจาก 2,626 คิดเป็น 88% และในจำนวนนี้มี 13 อำเภอจาก 22 อำเภอ ที่เป็นอำเภอปลอดน้ำเมาในงานบุญ 100 % ได้แก่ อำเภอขุขันธ์,ขุนหาญ ,พยุห์, โพธิ์ศรีสุวรรณ ,ปรางกู่, น้ำเกลี้ยง, ยางชุมน้อย,บึงบูรพ์,เบญจลักษ์,เมืองจันทร์,กันทรลักษ์, วังหินและ ศิลาลาด เรียกได้ว่า ศรีสะเกษเป็นจังหวัดที่มีหมู่บ้านร่วมรณรงค์จัดกิจกรรมงานบุญปลอดเหล้ามากที่สุดในประเทศไทย คงไม่ผิดอะไร!!!!
ส่วนอำเภอที่ทำยอดประหยัดเงินช่วยชาติไม่ให้ตกเป็นทาสน้ำเมาในงานบุญมากสุด 5 อันดับแรกคือ อำเภอขุขันธ์ ประหยัดได้ 19 ล้านบาท อันดับที่ 2 อำเภออุทมพรพิสัย ประหยัด 14 ล้านบาท รรม อันดับที่ 3 อำเภอขุนหาญ 9.6 ล้านบาท อันดับที่ 4 อำเภอเมืองศรีสะเกษ 6.2 ล้านบาท และอันดับที่ 5 อำเภอกันทรลักษ์ 5.7 ล้านบาท
เคล็ดลับความสำเร็จที่ผู้ว่าฯสมศักดิ์ ทำให้กิจกรรมงานบุญปลอดน้ำเมาจนช่วยชาติประหยัดเงินซื้อน้ำเมากว่า 76 ล้านบาท และจะดำเนินโครงการต่อไป และในวันพ่อแห่งชาติปีนี้จะรณรงค์ครั้งใหญ่ในฐานะครบ 1 ปี คือ ความร่วมมือจากหลาย ไม่ว่าจะจากส่วนกลางที่สนับสนุนเรื่องนี้อย่างแข็งขันเช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติในระดับจังหวัด คณะสงฆ์ภายในจังหวัด คณะกรรมการโรงเรียน องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
“แต่สิ่งที่สำคัญที่ผมเน้นย้ำคือ ไม่เน้นเชิงปริมาณว่าจะเข้าร่วมมากน้อยเพียงใด แต่เน้นเรื่องความสมัครใจจากการหารือและข้อตกลงของประชาคมในชุมชนเองว่าต้องการดำเนินการให้ปลอดน้ำเมาจริงๆ และคิดบทลงโทษกันเองด้วย”
นอกจากช่วยประหยัดเงินจากต้องไปซื้อน้ำเมา และยังได้อานิสงส์บุญอย่างเต็มที่ด้วยแล้ว ข้อดีของการไม่ดื่มน้ำเมาที่อาจไม่มากมายนัก แต่ถือว่า ประเมินค่ามิได้คือ ลดการทะเลาะวิวาท จากน้ำเปลี่ยนนิสัย ทำให้ในช่วงงานเทศกาลปีใหม่ สี่เผ่าไทยจังหวัดศรีสะเกษ 2554 ไม่มีแม้แต่คดีทะเลาะวิวาทแม้แต่คดีเดียว จากที่ปี 2553 มีมากถึง 4 คดี นอกจากนี้งานระดับจังหวัดอย่าง เทศกาลลำดวนบาน งานเงาะทุเรียนจังหวัดศรีสะเกษ ก็มีการทะเลาะวิวาทลดลงด้วย
ขณะที่ สสส. ต้นตำรับผู้ริเริ่มงานรณรงค์ปลอดเหล้าในงานบุญประเพณีต่างๆ นั้น โดยมี ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ปรึกษาสำนักงาน สสส. ถล่าวถึงนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สสส. ร่วมกับสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ได้ริเริ่มโครงการรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษาตั้งแต่ปี 2546 และในปี 2547 ได้ขยายผลจัดโครงการกฐินปลอดเหล้า และโครงการวัดปลอดเหล้า จนนำไปสู่การผลักดันพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 และได้มีการรณรงค์เรื่องเลี้ยงเหล้าในงานบุญเท่ากับบาป ส่งผลให้ จ.ลำปาง เริ่มรณรงค์จัดงานศพปลอดเหล้าเป็นแห่งแรกในประเทศไทยครบทุกตำบล จนมีการขยายผลสำหรับงานบุญทุกชนิดให้ปลอดน้ำเมาได้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วไทย ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้รับการร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด รวมถึงภาคประชาชน และเอกชน ที่ให้การสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง สสส. และภาคีเครือข่าย จะรณรงค์อย่างต่อเนื่องร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ขยายภาคี ทำงานเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจัดทำข้อมูลให้เป็นระบบ เพื่อพร้อมกับการขยายผลพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
พิษของน้ำเมานอกจากทำลายสุขภาพแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพเงินในกระเป๋าที่ต้องสูญไปเสียเปล่า ไม่เพียงแต่จะไม่ได้บุญแล้ว ยังเกิดการทะเลาะวิวาทที่ส่งผลกระทบวงกว้างตามมากับการจัดกิจกรรมงานบุญเหล่านั้นอีก
ที่มา : สำนักข่าว สสส.