คิดทางบวกเพื่อหาความสุขให้ชีวิต

ชีวิตคิดบวก


“การคิดบวก” เป็น ส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุข เนื่องมาจากว่าสภาพแวดล้อมของประเทศไทยในเวลานี้ เต็มไปด้วย สาระข้อมูล ที่ล้วนแต่ “คลุมเครือ” สร้างความไม่สบายใจให้แก่คนในสังคมได้ทุกเรื่อง หากว่า ผู้คิด เครียดไปกับสภาพสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น เพราะฉะนั้น เพื่อช่วยเหลือให้ตัวเอง ไม่ต้องเครียดกับสภาพสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว หากได้ยิน ได้ฟังอะไรมา เราต้อง “เซฟตัวเอง” ด้วยการคิดแต่ส่วนที่มันจะเป็นผลดีกับตัวเรา


สัจจธรรมของชีวิต ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน แม้แต่ความคิดของมนุษย์ ที่ไม่มีใครมาบังคับกันได้ ก็ยังมีสองด้านเช่นเดียวกัน คือ คิดในเชิงบวก กับ คิดในเชิงลบ อย่างเรื่องที่จะต้องเดือดร้อนไปกับการขึ้นราคาน้ำมันปาล์มมหาโหดที่ขึ้นทีเดียว 9 บาท ถ้าใครคิดในด้านลบ ก็จะต้องเกิดความวิตกกังวลกับตัวเองว่า ความเดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจจะต้องเกิดกับครอบครัวอีกแน่ๆ แต่หากคิดในเชิงบวก เราอาจพบว่า การที่น้ำมันปาล์มขึ้นมาสูงถึงขวดละ 9 บาทในครั้งนี้ เป็นสิ่งดีกับตัวเอง และครอบครัว ทางด้านสุขภาพ เพราะจะเป็นการลดอัตราการเกิดโรคที่อาจจะเกิดกับร่างกายของเรา และ ครอบครัวของเราได้ ด้วยการลดการทานอาหารประเภททอดๆ ผัดๆ ให้น้อยลง ในทำนองว่า “เมื่อน้ำมันแพง ก็เลิกกินของทอด แล้วไปกินของต้มของลวกแทน” แค่นี้เราก็สบายใจในเรื่องที่วิตกว่าจะไม่มีเงินมาซื้อน้ำมันปาล์มที่แพงขึ้น


นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาโภชนาการสมวัย


เรื่องแบบนี้ นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. และกรมอนามัย กล่าวว่า สถานการณ์การบริโภคน้ำมันของคนไทยมีแนวโน้มสูงมาก เนื่องจากคนไทยกินของผัดและของทอดสูงขึ้น จากปกติควรจะได้รับน้ำมันจากการกินไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน เพราะหากบริโภคมากเกินขนาดร่างกายก็นำไปใช้ไม่หมด จนเกิดปัญหาอ้วนลงพุง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคหอบ ดังนั้น ในระหว่างที่น้ำมันปาล์มแพงขึ้น เราควรฉวยโอกาสนี้ในการลดกินของผัดและทอด หันมากินของต้ม ย่าง ยำ อบ และนึ่งแทน เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันในการทำอาหารให้น้อยลง และ เพื่อเป็นการประหยัดน้ำมันและลดปัญหาอ้วนลงพุง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคหอบ ได้ด้วย ซึ่ง ไม่ต้องห่วงว่าร่างกายจะขาดน้ำมัน เพราะคนไทยหาน้ำมันอย่างอื่นมาทดแทนให้แก่ร่างกายได้หลายทาง เช่น กะทิ และเนื้อสัตว์ นอกจากนี้การปรุงอาหารควรลดปริมาณการใช้น้ำมันให้น้อยลง โดยเฉพาะการผัดหรือการทอด ซึ่งยังคงรสชาติของอาหารและยังได้สุขภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย


หากคิดกันได้แบบนี้ ความวิตกกังวล ก็จะหมดลงไป แถมจะรู้สึกดีใจด้วย ที่สภาพแวดล้อมทางสังคมมาช่วยบังคับให้เราลดกินของมัน ที่จะทำให้ร่างกายปราศจากโรคร้ายที่น่ากลัว แต่สำหรับคนอีกหลายๆ คน ที่ยึดทางออกด้วยการทดแทน เช่น เมื่อน้ำมันปาล์มแพง ก็เลิกใช้น้ำมันปาล์ม แล้วหันมาใช้น้ำมันหมูแทน ซึ่งอาจจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของการคิดแก้ไขปัญหา น้ำมันปาล์มแพงได้


ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยง


แต่วิธีการนี้ ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยง ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. บอกว่า จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคหลังจากการประกาศขึ้นราคาน้ำมันพืช พบว่า มีผู้บริโภคบางส่วนหันไปใช้การเจียวน้ำมันจากมันหมูแทน ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ เนื่องจากน้ำมันหมูประกอบด้วยกรดไขมันชนิดอิ่มตัว ที่ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง และเป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยส่วนหนึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไป อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งปัจจุบันพบว่า คนในกรุงเทพฯ กว่า 50% มีคอเลสเตอรอลสูงกว่าค่ามาตรฐาน คือเกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และเมื่อเกิดโรคขึ้นแล้วก็ไม่หายขาด ดังนั้น การป้องกันโรคจึงน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด นั่นคือการลดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ลง การรับประทานอาหารที่มีไขมันคอเลสเตอรอลต่ำก็เป็นหนทางหนึ่ง ดังนั้นในการเลือกใช้น้ำมันในการปรุงอาหารจึงเป็นสิ่งที่ควรทราบว่านอกจากน้ำมันหมู ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว ยังมีน้ำมันทางเลือกอื่นอีกจำนวนมากซึ่งดีต่อสุขภาพ ที่สามารถใช้บริโภคแทนน้ำมันปาล์มที่ราคาสูงขึ้น เช่น น้ำมันกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน เป็นกรดไขมันชนิดดี ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือด พบมากในน้ำมันมะกอก พบปานกลางในน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด และน้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี เป็นกรดไขมันชนิดดีปานกลาง เช่น กรดไลโนเลอิค ซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลงได้บ้าง มีในน้ำมันรำข้าวพอสมควร อย่างไรก็ตาม น้ำมันปรุงอาหารหลายยี่ห้อที่ขายในประเทศไทยเป็นน้ำมันผสม ดังนั้น ก่อนซื้อผู้บริโภคควรพิจารณาดูส่วนผสมที่ฉลากด้วย


จากข้อมูลดังกล่าวที่บอกมานี้ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สรรพสิ่งทุกชนิดย่อมมีสองด้านเสมอ ดังนั้น ถ้าเรารักตัวเองจริงๆแล้ว เราก็ควรเลือกเดินเฉพาะทางที่ ทำให้เรามีความสุขจะดีกว่า เลือกเดินทางที่สร้างความทุกข์ให้แก่เรา เพราะสิทธิในการเลือกเดินทางเป็นของตัวเราเอง ทำไมเราจึงไม่หาแต่เฉพาะทางเดินที่มันสร้างประโยชน์ให้แก่เล่า จริงไหม


 


 


 


        


ที่มา: แนวหน้า โดย ปานมณี

Shares:
QR Code :
QR Code