ความเจ็บปวดเป็นสิ่งชั่วคราว
นักร้อง นักแสดง นักวิ่งมาราธอน หรือดอกเตอร์ "นาวินต้า-นาวิน เยาวพลกุล" เป็นทั้งหมดนั้นไม่น่าเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะทำอะไรได้ตั้งมากมาย และสำเร็จไปซะทุกเรื่อง แท้จริงแล้ว ความสำเร็จในแต่ละสิ่งที่เขาเลือก ไม่ใช่ได้มาโดยง่าย มีท้อ มีล้ม มีพัก แต่ไม่เคยหยุด
ความต่างของคนเราอยู่ที่ว่าทำหรือไม่ทำ ถ้าเริ่มทำแล้ว การกระทำจะเปลี่ยนความคาดหวังที่เราคิดว่ามันจะเป็นให้กลายมาเป็นเป้าหมาย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเชื่อว่าเป้าหมายจริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนนัก
"ผมเคยไล่ตามเป้าหมาย อยากเรียนจบปริญญาเอก ไล่ตามอยู่เป็นสิบปี สุดท้ายพอเรียนจบปุ๊บ วันที่ได้ลายเซ็นจากคณบดี เขาบอกว่า ยินดีด้วยดอกเตอร์นาวินแล้วเขาก็เคาะระฆัง เป๊ง คุณเรียนจบแล้ว ผมก็เหวอไปเหมือนกัน เรียนจบแล้วเหรอ พอเรียนจบก็เกิดความภูมิใจ แล้วมันก็หายไปภายใน 10 นาที จากนั้นไม่รู้จะทำอะไรต่อ"
เป้าหมายก็คือเป้าหมาย เวลาที่ไปถึงแล้วมันก็จะมีเป้าหมายต่อๆ ไปตราบใดที่ชีวิตยังไม่สิ้นสุด เอาเข้าจริงเป้าหมายเป็นแค่จุดหนึ่งจุด
"ตอนทำปริญญาเอกทรมานมาก เหนื่อยกับทุกอย่าง เพราะความเครียดที่แบกรับไว้สูงมาก ตอนนั้นจะแพลนเป็นอาทิตย์เลยว่าต้องทำอะไรให้เสร็จบ้าง จากอาทิตย์ซอยมาเป็นวัน ในแต่ละวันจะแพลนออกมาเป็นย่อหน้าเลย เสร็จแล้วก็พักทำให้รู้สึกว่าหนึ่งวันมันก็ผ่านไปได้"
จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือน แล้วก็ผ่านไปเป็นปี มองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่า ลำบาก ถ้าจะให้ทำอีกครั้งยังหวั่นๆ แต่ตอนนั้นก็ทำได้ แล้วก็มีความสุขดี เพราะแทบไม่สนใจว่าจะเสร็จเมื่อไร เหมือนการวิ่งมาราธอน ขอให้ก้าวต่อไปเป็นก้าวที่ดีที่สุด ก้าวต่อไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เราได้เห็นก้าวต่อไปทำให้เส้นชัยใกล้เข้ามาทีละก้าว
การเดินไปยังเป้าหมายของเขาคือ ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวอย่างดีที่สุด
"ตั้งแต่สมัยเด็ก คุณพ่อคุณแม่มักสอนว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ตรงนั้น ความสำเร็จอาจมีหรือไม่มีก็ได้ แต่จะไม่มีแน่นอน ถ้าคุณไม่พยายาม" เราพยายามก็เพื่อที่จะมีสิทธิที่จะหวังว่ามันจะสำเร็จเข้าสักวัน ถ้าพยายามแล้วอย่างน้อยก็ถือว่าได้ก้าวขาเข้ามาอยู่ในกลุ่มคนที่มีสิทธิที่จะได้รับความสำเร็จ
เรียนจบสำเร็จเป็นดอกเตอร์สมใจ "นาวินต้า" เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย
"ตอนนั้นแค่วิ่งบนสายพาน 15 นาทีก็แทบตายแล้ว พอวิ่งได้ 22 นาที ดีใจใหญ่ ก็ทำอย่างนั้นมาเรื่อยๆ คือพยายามวิ่งให้ได้ครึ่งชั่วโมงในแต่ละครั้ง พอวิ่งได้ครึ่งชั่วโมงก็เริ่มพยายามวิ่งให้ได้ 45 นาที มันจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ"
สิ่งที่เราเอาชนะ ที่จริงแล้วคือตัวเองในเมื่อวาน
วันนี้เขาวิ่งฟูลมาราธอน 42 กิโลเมตร ได้แล้ว"การออกกำลังกายคือการพักผ่อน ส่วนใหญ่พอเหนื่อยด้านสมอง คนเราจะรู้สึกว่าร่างกายพลอยเหนื่อยไปด้วย ผมมานั่งสังเกตตัวเองว่า วันนี้เราเหนื่อยยังไงกันแน่ เหนื่อยร่างกายหรือสมอง ถ้าร่างกายยังเหลือแรงอยู่ก็ไปออกกำลังกาย บางคนเหนื่อยมากจะนอนพัก แต่จริงๆ ไม่จำเป็น เราน่าจะเอาความเครียดไปออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายและสมองสมดุลกัน"
นาวินต้าแนะนำว่าให้ลองสังเกตตนเองดู"การออกกำลังกายอาจไม่สนุก อาจทรมานหน่อยด้านจิตใจ แต่ร่างกายได้ทำในสิ่งที่รู้สึกดี เป็นการให้รางวัลกับร่างกาย การกินดี การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นทั้งการดูแลร่างกาย และการเอาชนะตนเอง"
เขาอธิบายว่า การวิ่งหรือปั่นจักรยาน ไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งทรมานมาก แดดก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็พยายามใช้แรงใจผลักดันตนเองไปข้างหน้า เมื่อไรที่เข้าถึงเส้นชัยจะดีใจที่ทำสำเร็จแล้ว
เส้นชัยคือความสำเร็จจากการเอาชนะใจตนเอง
"ใครเคยวิ่งมาราธอนสักครั้งจะติดใจ และเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด มันสอนให้เรามีสมาธิ สอนให้มองสิ่งต่างๆ ในแง่บวก สอนให้มองข้ามความเจ็บปวดที่เป็นแค่สิ่งชั่วคราว"
นาวินต้าบอกว่า เขาชอบคำพูดของนักปั่นจักรยานชื่อดัง "แลนซ์ อาร์มสตรอง" ที่บอกว่า "ความเจ็บปวดเป็นสิ่งชั่วคราว แต่การที่คุณล้มเลิกมันจะอยู่กับคุณตลอดไป"
เพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ถึงที่สุดแล้ว เดี๋ยวมันก็จะหายไป ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน หรือการวิ่ง เราต่างมีโอกาสไปถึงปลายทางของความสำเร็จ เพื่อที่จะได้รู้สึกดีใจ ปลื้มปีติหรือภูมิใจได้เท่ากัน
ขอเพียงแต่ลงมือทำ และพยายาม เร็วหรือช้า ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ลองก้าวขาเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่มีสิทธิจะได้สัมผัสกับความสำเร็จบ้างดีไหม?
(เรียบเรียงจาก a day bulletin selected interview 2013-2014 "In Talk, We Trust”)
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน โดยเชอรี่ ประชาชาติ