ความร่วมมือจากประชาชน ช่วยยับยั้งโควิด-19 ได้ผล
ที่มา : เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ
แฟ้มภาพ
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงต้องเฝ้าระวัง ทาง สกสว. เผยผลวิจัยพฤติกรรมคนไทย มีผลต่อการยับยั้งการแพร่ระบาด พบตื่นตัวเฝ้าระวัง รับรู้ข่าวสาร และเข้าใจมาตรการต่าง ๆ พร้อมปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสาธารณสุข
ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยรายงานการวิจัยต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ว่า งานวิจัยพบว่าคนไทยตื่นตัวเฝ้าระวัง รับรู้ข่าวสาร และเข้าใจมาตรการต่าง ๆ ของรัฐชัดเจน ส่วนใหญ่พร้อมที่จะปฏิบัติตามข้อแนะนำของฝ่ายสาธารณสุข แต่มีข้อจำกัดหลายข้อซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมครัวเรือนประจำวัน หรือเป็นพฤติกรรมทางสังคมทำให้มาตรการเหล่านั้นได้ผลน้อย
ในงานวิจัยครั้งนี้ แบ่งการศึกษาคนไทยออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ผู้อยู่อาศัยในเขตเมือง (คนในเขตเมือง) ผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองแต่รายได้น้อย (คนจนเมือง) ผู้อยู่อาศัยนอกเขตเมืองในต่างจังหวัด (คนชนบท) และผู้อยู่อาศัยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คนชายแดนใต้) โดยศึกษาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของตนเอง และการทำกิจกรรมร่วมกัน ศึกษาในช่วงเดือนมีนาคม 2563 ผ่านเครือข่ายวิจัยของกลุ่มสถาบันวิจัยระบบสุขภาพสาธารณสุข และเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ
และพบว่าคนไทยทั่วประเทศติดตาม รับรู้ ข้อมูลข่าวสาร และมาตรการป้องกันฯ จากฝ่ายสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด มีทัศนคติต่อข้อมูลเหล่านั้นดี และยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐ เช่น การไม่มีกิจกรรมร่วมกันหรือไม่สังสรรค์ร่วมกัน (สูงถึง 90%) การไม่สัมผัสมือ (92%) และการล้างมือก่อนกินข้าวทุกครั้ง (80%) หรือการอยู่บ้าน (90%) นั่นหมายถึงคนไทยส่วนใหญ่ตอบสนองต่อมาตรการของรัฐดี ยินดีร่วมมือปฏิบัติตามข้อแนะนำอย่างพร้อมเพรียง
อย่างไรก็ตาม สภาพการใช้ชีวิตและทำกิจกรรมประจำวันที่แตกต่างกันระหว่างคนเขตเมือง คนจนเขตเมือง คนชนบท และคนเขตชายแดนภาคใต้ จึงทำให้มาตรการที่ฝ่ายสาธารณสุขแนะนำ ให้งดเว้นหลายข้อได้รับความร่วมมือไม่มากนัก เช่น การเข้าไปในพื้นที่แออัด การเข้าพื้นที่ตลาด หรือการใช้รถสาธารณะของคนจนเขตเมืองยังสูงถึง 35% และ 22% และคนเขตชายแดนใต้ ยังใช้พื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาสูงถึง 20%
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประชาชนดื้อรั้น หรือไม่เห็นด้วยกับมาตรการของรัฐ งานวิจัยพบอีกว่า 89% ของกิจกรรมร่วมกัน หรือสังสรรค์กันของคนเหล่านี้ เกิดขึ้นภายในบ้านหรือครัวเรือน ข้อแนะนำบางข้อ เช่น การไม่ใช้มือจับหน้า ไม่สัมผัสหน้า การล้างมือก่อนกินข้าว ล้างมือหลังจากเข้าห้องน้ำ จึงเป็นข้อนำที่ปฏิบัติได้ยาก เพราะครอบครัวจะเคยชินกับกินข้าวร่วมกันอันเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยเหล่านั้น หรือมาตรการเรื่องการเว้นระยะห่าง
ผลตอบรับจากคนกลุ่มนี้ก็จะไม่ดี เพราะสัดส่วนของจำนวนคนต่อการใช้พื้นที่ ค่อนข้างหนาแน่น เป็นครัวเรือนที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบ้าน หรือในห้องเดียวกันหลายคน และด้วยสภาพทางเศรษฐกิจ ห้องก็อาจไม่กว้างมากพอที่จะเว้นระยะห่าง มาตรการนี้จึงได้รับความร่วมมือน้อยกว่าคนในเมือง ถ้ารัฐจะหยุดยั้งการแพร่ระบาดให้สำเร็จ จะต้องเพิ่มระดับการควบคุมจากระดับบุคคลต่อบุคคล เสริมด้วยระดับบุคคลในครัวเรือนต่อบุคคลภายนอกด้วย
ข้อเสนอหนึ่งของทีมวิจัยต่อการสื่อสารเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดนี้คือ ควรมีคำแนะนำหรือข้อปฏิบัติบอกว่าต้องทำอย่างไร ถ้าต้องอยู่ร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น วิธีปฏิบัติตัวก่อน-หลังเข้าบ้าน วิธีใช้ห้องน้ำร่วมกัน วิธีอยู่ร่วมกันในบ้านกับเสนอให้รัฐ มองขอบเขตการควบคุมจากระดับบุคคล ให้เป็นระดับเป็นครัวเรือน ต้องมีมาตรการหลากหลายให้เหมาะสมกับพื้นที่ และพฤติกรรมของครัวเรือน เสนอแนะว่าควรยกจากระดับปัจเจกบุคคล ควบคู่ไปกับการดูแลเป็นครัวเรือน