ความรุนแรง เรื่องที่ผู้หญิงต้องสู้
พบผู้กระทำความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัวมากถึง 80%
เมื่อ “ความรุนแรง” เกิดขึ้นบุคคลที่ตกเป็น “เหยื่อ” ส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิงเสมอ ทำให้ที่ผ่านมามีสถิติระบุว่าในทุก ๆ 20 นาที มีผู้หญิงถูกกระทำความรุนแรงอย่างน้อย 1 ราย และที่น่าตกใจกว่า นั่นก็คือผู้กระทำกลับเป็นคนใกล้ชิด สามี หรือคนในครอบครัวมากถึง 80%!!!
และถึงแม้จะมีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ออกมาเพื่อสร้างมาตรการป้องกัน เยียวยาผู้กระทำและผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงไม่ให้เกิดซ้ำหรือทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ทว่าปัญหาความรุนแรงดังกล่าวไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด…ดังจะเห็นได้จากข้อมูลเปรียบเทียบการให้บริการของศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง ในปี 2550 ที่มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงทั้งหมด 110 กรณี ได้แก่ พรากผู้เยาว์ 30 กรณี ข่มขืนกระทำชำเรา 53 กรณี โทรมหญิง 8 กรณี อนาจาร 8 กรณี ค้ามนุษย์ 2 กรณี และสามีบังคับร่วมเพศ 9 กรณี ในขณะที่ปี 2551 กลับมีผู้ถูกกระทำความรุนแรงถึง 256 กรณี ซึ่งเป็นกรณีเดิม ๆ ที่เกิดมาแล้วในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา มิหน้ำซ้ำยังพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว!
เมื่อผู้หญิงตกอยู่ท่ามกลางความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ผู้หญิงควรเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองโดยการเตรียมอุปกรณ์ป้องกันภัยอย่างสเปรย์พริกไทย ที่ใช้ฉีดในระยะ 3 เมตร ใส่คนร้ายที่จะเข้ามาประชิดตัว คนร้ายจะแสบร้อย มีเวลาให้เราวิ่งหนีได้ทันอย่างน้อย 5-10 นาที หรือพกนกหวีดอันเล็ก ๆ ติดตัวไว้ เวลาเกิดเหตุร้าย ก็เป่านกหวีด เสียงจะดัง ทำให้คนร้ายตกใจ ไม่กล้าลงมือ แต่ไม่ควรพกเครื่องช็อตไฟฟ้า มีด หรือปืน ซึ่งถือเป็นอาวุธที่ตำรวจไม่อนุญาตให้พกพาในที่สาธารณะ เพราะผิดกฎหมาย และอาจกลายเป็นอุปกรณ์ที่กลับมาทำร้ายเราได้
แต่เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์คับขันที่จะถูกกระทำความรุนแรง คุณผู้หญิงควรตั้งสติให้ดี อย่าตกใจจนเกินไป ให้สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อหาทางหนีทีไล่ และช่วยเหลือตนเองเฉพาะหน้า โดยการใช้น้ำเย็นเข้าลูบ พูดจาถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาทางหลบหนีออกมาจากสถานการณ์นั้น ๆ พยายามไม่ยั่วยุคนร้ายเพราะอาจทำให้คนร้ายใช้ความรุนแรง จากนั้นให้ลองสังเกตจุดที่อาจจะจู่โจมคนร้ายได้ อาทิ ดวงตา อวัยวะเพศ แต่ต้องให้แน่ใจว่าสามารถทำให้คนร้ายเจ็บจริงจนหยุดการกระทำ หรือเสียการทรงตัวชั่วขณะ เพื่อให้สามารถหลบหนีออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นได้ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิม
หากยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้วถูกทำอนาจาร ไม่ควรอาย ให้ร้องขอความช่วยเหลือดัง ๆ จากนั้นควรแจ้งความหรือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงบันทึกประจำวันเพื่อนำตัวคนทำผิดมาลงโทษ หรืออย่างน้อยเพื่อเป็นการตักเตือนผู้กระทำผิด หรือหากพบว่ามีคนเดินตามในที่เปลี่ยว ควรตะโกนว่า “ไฟไหม้” อย่าตะโกนว่า “ช่วยด้วย” แล้ววิ่งหนีให้เร็วที่สุด…นี่เป็นหนทางการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้เพื่อป้องกันตัวเอง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์จริง!!
อย่างไรก็ตาม การรู้จักป้องกันตัวเองของผู้หญิง อาจไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยแก้ไขปัญหา เพราะต้นตอของความรุนแรงจะยุติลงได้ ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุก ๆ คนที่จะต้องร่วมใจกันขจัดความรุนแรงออกไปจากสังคมไทย ก่อนที่สถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิงจะเข้าขั้น “วิกฤติ” เพราะในที่สุดแล้ว “เหยื่อ” รายต่อไปอาจเป็น “คุณ” หรือ “คนที่คุณรัก”!!
ข้อมูลผู้ที่ถูกกระทำและผู้กระทำความรุนแรง
มากที่สุด 3 อันดับ ปี 2551 จำแนกเป็นอายุ อาชีพ สถานที่เกิดเหตุ และปัจจัยกระตุ้น
|
อันดับ 1
|
อันดับ 2
|
อันดับ 3
|
อายุ
|
|||
ผู้ถูกกระทำ
|
16 – 20 ปี
|
1 ขวบ – 15 ปี
|
26 – 30 ปี
|
ผู้กระทำ
|
16 – 20 ปี
|
46 – 50 ปี
|
21 – 25 ปี
|
อาชีพ
|
|||
ผู้ถูกกระทำ
|
รับจ้าง
|
นักเรียน/นักศึกษา
|
ธุรกิจส่วนตัว
|
ผู้กระทำ
|
รับจ้าง
|
นักเรียน/นักศึกษา
|
รับราชการ
|
สถานที่เกิดเหตุ
|
|||
|
ในบ้าน/ห้องของผู้ถูกกระทำ
|
ในบ้าน/ห้องของผู้กระทำ
|
โรงแรม/ร้านอาหาร
|
ปัจจัยกระตุ้น
|
|||
|
ผู้กระทำดื่มเหล้าประจำ
|
ผู้กระทำดื่มเหล้าในวันเกิดเหตุ
|
ทั้งผู้ถูกกระทำและผู้กระทำต่างดื่มเหล้าทั้งคู่
|
ข้อมูลจากการบริการให้คำปรึกษาของศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง
เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th
Update 03-03-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์