ครอบครัวไทยสบายชีวี

อยู่ดี กินดีแบบ “พอเพียง”

 

ครอบครัวไทยสบายชีวี

          การทำการเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นผลิตเพื่อขายปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้ต้องใช้ปุ๋ยและสารเคมีจำนวนมาก ซ้ำยังต้องพึ่งพาปัจจัยการผลิต ไม่ว่าจะเป็นแรงงานหรือพันธุ์พืชจากภายนอก เมื่อภูมิอากาศแปรปรวน สภาพเศรษฐกิจผันผวน ราคาผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรส่วนใหญ่จึงต้องประสบกับปัญหาหนี้สินที่ไม่รู้จักหมดสิ้น

 

          บ้านบุไทย ตำบลห้วยยาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เป็นหมู่บ้านชาวนาอีกชุมชนหนึ่งที่เคยประสบปัญหาเหล่านี้มาในอดีต เพราะชาวบ้านขาดการพึ่งพาเอง ใช้ชีวิตไปตามกระแสสังคม ยิ่งดิ้นรนหาความสุข ก็ยิ่งมีความทุกข์จากหนี้สินที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นเงาตามตัว

 

          แต่เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เมื่อชาวบ้านบุไทยลุกขึ้นมาค้นหาต้นตอของปัญหาแล้วพบว่า “หลักเศรษฐกิจพอเพียง” คือทางออกของชุมชน จึงได้จัดทำ โครงการหมู่บ้านสร้างเสริมสุขภาพตามแนวพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง ขึ้นโดยพัฒนาหมู่บ้านตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง ปรับเปลี่ยนแนวคิดให้ชุมชนหันมาพึ่งพาตนเอง ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เน้นการทำอยู่ทำกิน ไม่เน้นขาย

 

          แต่อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านบุไทยยังประสบปัญหาสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างดิ้นรนทำให้ชุมชนขาดการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงได้พัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับปัญหาชุมชนมากยิ่งขึ้น ชาวบ้านบุไทยจึงได้จัดทำ “โครงการร่วมสร้างหมู่บ้านพอเพียง เพื่อรากฐานสุขภาพที่ยั่งยืน” เพื่อน้อมนำแนวพระราชดำรัสมาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

          โดยกิจกรรมหลักๆ ของโครงการประกอบไปด้วย การส่งเสริมการทำนาและทำการเกษตรปลอดสารเคมี มีการณรงค์การลด ละ เลิกเหล้า บุหรี่ และอบายมุขต่างๆ ในงานศพและงานบุญ การตั้งศูนย์การเรียนรู้ครอบครัวพอเพียงขึ้นในชุมชน และส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

 

          นายประวัติ บุญคำมูล ผู้ใหญ่บ้านบ้านบุไทยและผู้รับผิดชอบโครงการ กล่าวว่า โครงการนี้เกิดขึ้นจากการระดมความคิดและความต้องการชาวบ้าน เพื่อขยายผลโครงการเดิมที่ดำเนินงานมาแล้วถึง 2 ปีให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนขึ้นในชุมชน โดยตั้งเป้าให้ชาวบ้านบุไทยมีอยู่มีกินตลอดทั้งปี และรู้จักการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของตนเอง

 

          “เราได้มีการรณรงค์ส่งเสริมในเรื่องการลดใช้สารเคมี ใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก มีโรงผลิตปุ๋ยเม็ดของชุมชน มีการทำกระถางปลูกผักหน้าบ้าน ปลูกเอง กินเอง ไม่ต้องซื้อ ลดค่าใช้จ่ายไปได้วันละ 3-5 บาท เกิดการแลกเปลี่ยนผลผลิตของแต่ละครัวเรือน เกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดก็คือ ชาวบ้านมีความรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น ยึดหลักการทำอยู่ทำกินไม่เน้นขาย สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็ดีขึ้น มีความสามัคคีกันมากขึ้น สภาวะครอบครัวก็ดีขึ้น” นายประวัติกล่าว

 

          นายปรีชา มาตรวังแสง อายุ 56 ปี หัวหน้าศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านบุไทย เล่าว่า พื้นที่ 8 ไร่ของ “ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอพียง” แห่งนี้แบ่งเป็นปลูกข้าว 6 ไร่ ที่เหลือปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น และพืชผักสวนครัว ขุดบ่อน้ำ 2 สระ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงควาย 1 ตัวไว้ไถนา เลี้ยงวัว 3 ตัว หมูอีก 8 ตัว เพื่อเอาขี้วัวและขี้หมูมาทำเป็นปุ๋ย นอกจากนี้ยังมีแปลงทดลองปลูกข้าวต้นเดียวที่มีพื้นที่เพียง 84 ตารางวา แต่ในปีที่ผ่านมาให้ข้าวมากถึง 105 กิโลกรัม

 

          “ข้อดีของเศรษฐกิจพอเพียง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไม่จำเป็น อยากกินอะไรก็ได้กิน กินจากของที่เราปลูกเองเลี้ยงเอง โดยแทบจะไม่ต้องใช้เงินซื้ออะไรเลยในแต่ละวัน ดังนั้น ถึงจะไม่มีเงิน แต่ก็มีความสุข ปัจจุบันชาวบ้านให้ความสนใจในการทำมาหากินทางการเกษตรตามแนวพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงกันมากขึ้น ถึงจะเหนื่อย แต่ยังได้กิน และยังมีอาชีพเสริมอื่นๆ เช่น ทอเสื่อ ทำปุ๋ยหมัก มีกิจกรรมให้ทำได้ตลอดทั้งปี” นายปรีชากล่าว

 

          นอกจากชาวบ้านบุไทยจะปรับเปลี่ยนมาประกอบอาชีพตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เน้นการพึ่งพาตนเองมากขึ้นแล้ว ในเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพ ชุมชนแห่งนี้ก็ยังนวัตกรรมที่ชาวบ้านร่วมกันคิดค้น เพื่อสร้างเสริมสุขภาพให้กับเยาวชนและผู้สูงอายุที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร นั่นก็คือการออกกำลังกายด้วยไม้กวาดที่ใช้ชื่อว่า “โครงการ 60 ปีขยับกาย สบายชีวี ดีที่ไม้กวาด”

 

          นางเรืองยศ บุญคำมูล อายุ 64 ปี ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขบ้านบุไทย กล่าวว่า เดิมมีการออกกำลังกายโดยการเต้นแอโรบิกมาก่อน แต่ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากในหมู่บ้าน จึงเริ่มคิดหาวิธีการออกกำลังกายแบบใหม่ให้ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนมีส่วนร่วมได้ ประกอบกับที่บ้านบุไทยมีการรวมกลุ่มผู้สูงอายุทำไม้กวาดอยู่แล้ว จึงได้นำไม้กวาดมาใช้แทนไม้พลอง ซึ่งมีประโยชน์สองต่อ เพราะนอกจากจะทำความสะอาดได้แล้ว ยังใช้เป็นอุปกรณ์ในการออกกำลังกายได้อีกด้วย

 

          “ทุกวันศุกร์ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะออกมารวมกันบนถนนหน้าหมู่บ้านเพื่อออกกำลังกาย โดยจะมีท่าต่างๆ ที่ใช้ออกกำลังกายและยืดเส้นยืดสายด้วยไม้กวาดประมาณ 10 ท่า อาทิ เหยียดแขนตรง พายเรือ กรรเชียง ฯลฯ โดยจะใช้เวลาออกกำลังกายประมาณ 30 นาที เมื่อออกกำลังกายเสร็จล้ว ทุกคนก็จะช่วยกันกวาดถนนบริเวณที่ออกกำลังกาย และตามเส้นทางเดินกลับบ้าน” นางเรืองยศกล่าว

 

          นางงามจิตต์ จันทรสาธิต ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนโครงการเปิดรับทั่วไป สสส. ระบุว่า หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการคิดอย่างมีเหตุผล มีความพอประมาณ และใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิต เป็นสิ่งที่สามารถนำมาปรับใช้กับวิถีชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพและการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ที่สามารถอธิบายในเรื่องของความพอเพียงได้เป็นอย่างดี

 

          “เกษตรกรที่ใช้ปุ๋ยหมักทำเกษตรอินทรีย์จะช่วยให้ห่างไกลจากสารเคมี ผลผลิตปลอดสารพิษ คนกินก็ปลอดภัย ซึ่งแนวคิดของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงยังตอบโจทย์ในเรื่องของการสร้างสุขภาวะให้กับชุมชน โดยถ้าเราสามารถดำรงชีวิตบนพื้นฐานของความพอเพียงก็จะทำให้สังคม ชุมชน หรือหมู่บ้านนั้นๆ สามารถดำรงตนได้อย่างมีความสุขและมีสุขภาวะมากขึ้น” นางงามจิตต์กล่าวสรุป

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

 

update: 10-05-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

Shares:
QR Code :
QR Code