คน ‘บ้านสัน-ลำพูน’ พร้อมใจไม่เมา
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
ภาพประกอบจากเว็บไซต์สื่อสารสาธารณะเพื่อพัฒนาสังคมชาวเหนือ
ตามประเพณีปฏิบัติของชาวเหนือ หากมีสมาชิกในบ้านเสียชีวิต มักจะ ตั้งศพไว้ที่บ้าน ทำบุญสวดอภิธรรม3คืนบ้าง5คืนบ้าง บางครอบครัวอาจจะนานกว่าสัปดาห์ หรือตามกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพ เพราะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด แม้จะเต็มใจต้อนรับก็ตาม
ด้วยค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่สูงขึ้นทุกวัน ประกอบกับค่านิยมการดื่มเหล้าในงานศพ ทำให้แกนนำชาวบ้านสัน หมู่ 4 ต.ทาขุมเงิน อ.แม่ทา จ.ลำพูน ตระหนักถึงปัญหาที่จะตามมา ทั้งหนี้สิน การพนัน การทะเลาะวิวาท จึงได้เชิญคณะกรรมการหมู่บ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน และตัวแทนกลุ่มต่างๆ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุ ศิลปินพื้นบ้าน กลุ่มใช้น้ำเพื่อการเกษตร กลุ่มเกษตรอินทรีย์ กลุ่มสวัสดิการชุมชน และข้าราชการที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน มาหารือร่วมกัน
บุญทับ แสนแก้วกาศ ผู้ใหญ่บ้านสัน เล่าว่า งานศพในหมู่บ้านจะมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5 แสนบาท ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง หรือประมาณวันละ 2.0-2.8 หมื่นบาท เป็นค่าเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ซึ่งถ้าหากเจ้าภาพมีฐานะ ก็ไม่เดือดร้อนนัก แต่งานศพคืองานที่เจ้าภาพไม่ได้ตระเตรียมไว้ล่วงหน้า ความสูญเสียทางใจมีมากพอแล้ว ยังต้องสูญเสียทรัพย์อีกมหาศาล เพื่อดูแลเอาใจคนในหมู่บ้าน หากไม่เลี้ยงเหล้าเบียร์ ก็รู้สึกผิด เพราะงานศพอื่นๆ ก็เลี้ยงกัน เสมือนไม่มีน้ำใจตอบแทนคนมาช่วยงาน ค่านิยมเหล่านี้จึงเท่ากับซ้ำเติมเจ้าภาพให้ทุกข์หนักขึ้นมากกว่าเดิม บางครอบครัวต้องไปกู้ยืมมาใช้จ่ายในงาน มีหนี้สินติดตัวอีก
เมื่อนำปัญหานี้เข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของหมู่บ้านในปี 2553 ก็มีมติ “งดเหล้าในงานศพ” ช่วยลดภาระของเจ้าภาพได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ 100% เพราะหลังจากฌาปนกิจศพแล้ว ยังมีการเลี้ยงเหล้าตอบแทนคนมาช่วยงาน ซึ่งเรียกกันว่า “วันล้างผาม” ทำให้มีค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนนี้ประมาณ 2 หมื่นบาท และในรายที่มีญาติพี่น้อง หรือคนรู้จักมาก ค่าเหล้าเบียร์ในวันล้างผามจะพุ่งสูงขึ้นถึง 3.5 หมื่นบาท
“การเลี้ยงเหล้าเบียร์ ส่งผลให้วันล้างผามยืดออกไป แทนที่หลังฌาปนกิจศพ ทุกคนจะช่วยกัน เก็บโต๊ะ เต็นท์ ถ้วยชาม กลับปล่อยให้ยื้อไปถึงวันรุ่งขึ้น ผลลัพธ์คือเจ้าภาพต้องสิ้นเปลืองค่าอาหาร และเครื่องดื่มเพิ่มอีก 1 วัน” ผู้ใหญ่บ้านสัน บอก
เพื่อให้การแก้ปัญหาต่อเนื่องและยั่งยืน ทางสภาผู้นำหมู่บ้านสัน ได้ลงมติเข้าร่วมโครงการร่วมสร้างชุมชนให้น่าอยู่กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงถือโอกาสทำประชาคม ยกระดับโครงการงดเหล้าในงานศพ ให้เป็น “งานศพปลอดเหล้า” งดเลี้ยงเหล้าในงานศพ และกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากงานศพ 100%
แม้จะมีเสียงคัดค้านจากคนที่เคยดื่มกินอยู่บ้าง แต่เมื่อเข้าโครงการ แล้วทำป้ายรณรงค์ติดตามถนน ทำสปอตโฆษณาคล้ายค่าวซอของทางภาคเหนือ ไว้เปิดเสียงตามสาย และในงานศพ รวมทั้งให้พระสงฆ์ช่วยพูดให้เห็นถึงโทษภัยของเหล้าด้วย ก็เริ่มมีผู้สนใจทยอยมาลงชื่อเข้าร่วมโครงการ 92 ครัวเรือน และจากการทดลองงานศพแรก สำรวจค่าใช้จ่ายตลอดงานแค่ 5 หมื่นบาทเศษ ชาวบ้านรายอื่นๆ ที่ยังลังเลในช่วงแรก ก็หันมาเข้าโครงการมากขึ้นถึง 241 หลังคาเรือน เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้เพียง 80 หลังคาเรือน
ผู้ใหญ่บ้านสัน เล่าด้วยว่า สิ่งสำคัญเมื่อเจ้าภาพไม่ควักจ่ายในส่วนนี้ ผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย หรือผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล, เทศบาลตำบล ก็ต้องร่วมมือกัน ไม่ควักเงินให้ชาวบ้านที่อาจเข้ามาขอ นำไปซื้อเครื่องดื่มมึนเมาด้วย และคนกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทค่อนข้างมากในการขับเคลื่อนกิจกรรมนี้ คือกลุ่มแม่บ้าน ที่ไม่อยากให้สามีดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว จึงสนับสนุนกิจกรรมอย่างเต็มที่
ในปี 2559 ที่ผ่านมา บ้านสันมีงานศพทั้งหมด 19 งาน มีเพียง 1 งานที่ขอไม่เข้าร่วมโครงการ คือยังเลี้ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนอีก 18 งาน งดเหล้าอย่างเด็ดขาด จากข้อมูลนี้เมื่อคิดค่าใช้จ่ายเฉพาะเหล้า-เบียร์ วันละ 25,000 บาท และแต่ละศพตั้งบำเพ็ญกุศลนาน 3 วัน นั่นเท่ากับบ้านสันประหยัดค่าใช้จ่ายในงานศพได้ถึง 1.35 ล้านบาทต่อปี
อภิภู วังษาวรกูล ผู้รับผิดชอบโครงการร่วมสร้างชุมชนให้น่าอยู่ บ้านสัน หมู่ 4 ต.ทาขุมเงิน อ.แม่ทา จ.ลำพูน กล่าวเสริมว่า ความแตกต่างระหว่างการเลี้ยงเหล้า กับงดแบบเด็ดขาด คือนอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายของเจ้าภาพ ทำให้พอมีเงินเหลือบ้างแล้ว ยังตัดปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง เพราะขาดสติและการพนันที่มักจะตามมาหลังการดื่ม รวมถึงทำให้ชาวบ้านสุขภาพดีขึ้น มีการเลี้ยงน้ำสมุนไพรมากขึ้น แม้ว่าจะยังมีน้ำอัดลมอยู่บ้างก็ตาม
ทุกวันนี้เมื่อครอบครัวไหนมีงานศพ ผู้นำจะประกาศเสียงตามสาย และกำชับห้ามเลี้ยงเหล้าในงาน พร้อมทั้งขึงป้ายขนาดใหญ่ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นงานศพปลอดเหล้า ส่วนวันสุดท้าย เมื่อเคลื่อนศพออกจากบ้านหรือยังสุสาน ชาวบ้านที่ไม่ไปร่วมพิธีที่สุสาน จะช่วยกันรื้อเต็นท์ เก็บโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้เสร็จภายในเย็นวันนั้น และพอเริ่มงดเหล้าในงานศพได้ งานอื่นๆ เช่น ประเพณีสรงน้ำพระธาตุ วันพระ วันสำคัญทางศาสนา ก็ขอความร่วมมือไม่ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในคนที่ติดเหล้าหรือติดเพื่อนฝูงก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ลดปริมาณการดื่มในชีวิตประจำวันไปโดยปริยาย
ส่วนสถิติการดื่มสุรา มีการสุ่มสำรวจก่อนทำโครงการ 100 ครัวเรือน (จากทั้งหมู่บ้าน 250 ครัวเรือน) คิดเป็นจำนวนคน 377 คน พบว่ามีผู้ดื่มสุรา 196 คน และไม่ดื่มสุรา 181 คน โดย 91 ครัวเรือน มีสมาชิกในครัวเรือนดื่มสุรา จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 0-99 บาทต่อคนต่อวัน จำนวน 144 คน ค่าใช้จ่าย 100-199 บาทต่อคนต่อวัน จำนวน 49 คน และหนักสุด 200-300 บาทต่อคนต่อวัน จำนวน 3 คน ภายหลังจากทำโครงการแล้ว มีการสำรวจซ้ำ ก็เห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลดลง 50%
ด้าน บรรเลง พรหมกาศ ชายสูงอายุ วัย 68 ปี คนเลิกเหล้าต้นแบบ ของบ้านสัน หมู่ 4 เล่าว่า เริ่มดื่มตั้งแต่อายุ 17 ปี พอถึงช่วงเย็นก็จะออกจากบ้านไปหาเพื่อนเพื่อกินเหล้าทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ก๊ง หรือ 20 บาท ก็ได้พูดคุยกับเพื่อนฝูงอย่างออกรสชาติ วันไหนกลับมาถึงบ้าน ภรรยายังทำกับข้าวไม่เสร็จ ก็จะกลับไปดื่มเหล้าต่อกับเพื่อนอีก ทำให้มีปากเสียง ทะเลาะกับภรรยาแทบไม่เว้นแต่ละวัน
“อยู่ๆ วันหนึ่งก็ฉุกคิดได้ว่า หากเมาเหล้าหกล้ม เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอันเนื่องมาจากสุรา ครอบครัวจะเดือดร้อนเพียงใด จึงเลิกแบบหักดิบ ไม่ดื่มอีกเลย แม้เพื่อนจะชักชวน และคะยั้นคะยอให้ดื่ม ก็ยกน้ำเปล่า หรือน้ำอัดลมแทน แรกๆ มีอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ต้องใช้ความอดทนคอยยับยั้งชั่งใจ ไม่ถึงเดือนก็ปกติ” ลุงบรรเลง กล่าว
สิ่งที่ภาคภูมิใจ คือลูกชายเห็นพ่อเลิกเหล้า ก็เลิกดื่มตามพ่อ มาถึงวันนี้ไม่ดื่มเหล้ามาเกือบ 5 ปีแล้ว สุขภาพร่างกายก็ฟื้นตัว แข็งแรง ทำงานมีสมาธิยิ่งขึ้น การทะเลาะเบาะแว้งภายในครอบครัวลดลง ความสุข สงบ เกิดขึ้นได้ แค่เลิกดื่มเหล้า