คนไทยป่วยความดันโลหิตสูง 11 ล้าน
ถือเป็นโรคฮิตในยุคนี้ แต่กลับเป็น "เพชฌฆาตเงียบ" ที่คนไม่ค่อยรู้และพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ สำหรับ "โรคความดันโลหิตสูง"
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ที่รายงานไว้ในปี 2551 พบว่า ทั่วโลกมีคนที่เป็นความดันโลหิตสูงมากถึง 1,000 ล้านคน 2 ใน 3 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ ยังพบว่าประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 ใน 3 คนมีภาวะความดันโลหิตสูง ยังมีการคาดการณ์ว่าในปี 2568 หรืออีก 11 ปี ข้างหน้า ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกจะป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากถึง 1.56 พันล้านคน ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก
ขณะที่ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 11 ล้านคน เสียชีวิตปีละไม่ต่ำกว่า 3,000 ราย และพบว่ามีอัตราผู้ป่วยที่ต้องเข้านอนรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ที่สำคัญยังพบว่า มีผู้ชายร้อยละ 60 และผู้หญิงร้อยละ 40 ที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีภาวะความดันโลหิตสูง ขณะที่ผู้ป่วยที่รู้ว่าตนเองเป็นโรคนี้แล้วราวร้อยละ 8-9 กลับไม่ยอมรักษา ส่งผลให้อาการทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะสามารถนำไปสู่ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย และโรคหัวใจ
จากความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง ในวันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี จึงถูกกำหนดให้เป็นวันความดันโลหิตสูงโลก เพื่อสื่อสารและสร้างกระแสให้คนหันมาใส่ใจ โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไต ที่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง โดยมีคำขวัญเพื่อการรณรงค์ที่ว่า "Know Your Blood Pressure" หรือ "รู้จักค่าความดันโลหิต" เนื่องจากต้องการเน้นให้เห็นความสำคัญของการทราบค่าตัวเลขความดันโลหิตของตัวเอง
นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ ผอ.สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปัจจุบันมีผู้ที่เข้ารับการรักษาขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขประมาณ 3.9 ล้านคน จาก 11 ล้านคน โดยมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นความดันโลหิตสูง ปัญหาคือโรคความดันโลหิตสูงเป็นแล้ว มักจะไม่มีอาการ กระทรวงสาธารณสุขจึงแนะนำว่า ถ้าหากคนที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ต้องหมั่นตรวจวัดความดันโลหิตสูงอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีคนใครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูงจำเป็นต้องตรวจถี่ขึ้น ป่วยแล้วต้องรักษาต่อเนื่อง เพราะโรคนี้ เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย แต่สามารถควบคุมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ นอกจากนี้ ยังอยากรณรงค์ให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป หาเวลาไปตรวจวัดความดันโลหิตสูงอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อความ ไม่ประมาทเช่นกัน
"ในปัจจุบันมีคนไข้โรคเรื้อรังเยอะมาก และโรคความดันโลหิตสูงก็เป็นหนึ่งในนั้น หากเราไม่ทำอะไรจะลุกลามมากขึ้น สธ.เองก็มีการทำงานเชิงรุก เข้าไปสำรวจ ตรวจสุขภาพ วัดความดัน โดย อสม. ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป ทั้งกลุ่มเสี่ยง กลุ่มป่วย โดยเน้น 3 อ. 2 ส. คือ 1) อ.อาหาร ลดการกินเค็ม อาหารที่มีโซเดียมสูง ลดการกินอาหารผ่านกระบวนการ อาหารสำเร็จรูป และอาหารหมักดอง โดยใน 1 วันไม่ควรบริโภคเกลือมากกว่า 1ช้อนชา 2) อ.ออกกำลังกาย ดูแลควบคุมน้ำหนัก ใช้ชีวิตให้กระฉับกระเฉงและหมั่นออกกำลังกายปานกลางอย่างน้อย 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์ 3) อ.อารมณ์ อย่าปล่อยให้เครียด หาเวลาไปนันทนาการ หรือฝึกสมาธิ หากไม่มีเวลาก็สามารถฝึกหายใจได้ คือหายใจยาวขึ้น ก็จะช่วยผ่อนคลายได้มากขึ้น ส่วน 2 ส. ได้แก่ 1) ส. สูบบุหรี่ ต้องงดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ เพราะเป็นสาเหตุหลักของการตายและความพิการจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และ 2) ส.สุรา จำกัดการดื่ม หรืองดสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์"
สำหรับ 3 อ. 2 ส. นพ.ภานุวัฒน์ บอกว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้ ร่วมกับโรคเรื้อรังอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่ป่วยแล้ว หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามหลัก 3 อ. 2 ส. จะช่วยให้กินยาน้อยลง ผลการรักษาดีขึ้น ไม่เกิด โรคแทรกซ้อน คุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้น แต่ถ้าไม่ ปฏิบัติตามจะมีการแทรกซ้อน และมีโอกาสเสียชีวิตได้โดยไม่รู้ตัว
"ตอนนี้เราก็พยายามรณรงค์ให้คนไทยลดการบริโภคเกลือลงครึ่งหนึ่ง อย่างที่เราบอกว่าเราก็ไม่รู้ว่าวันหนึ่งอาหารที่เรากินมันมีเท่าไหร่ ออกจากบ้านมาเราก็ซื้อกิน ในบ้านก็ไม่รู้ว่าใส่เกลือ หรือเครื่องปรุงไปเท่าไหร่ ดังนั้นคนปรุงจึงสำคัญ ส่วนคนที่ไปกินข้าวนอกบ้านก็จะต้องปรับเปลี่ยนนิสัยการเติมน้ำปลา เพราะไม่เฉพาะโรคความดันโลหิตสูงอาจจะมีโรคแทรกซ้อนอย่างหัวใจ ไต และอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ สิ่งสำคัญอยากสื่อสารว่า ยังมีคนอีกเกือบครึ่งที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นความดัน โลหิตสูง เพราะฉะนั้นต้องหาเวลาไปตรวจอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง" นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวในตอนท้าย
ถือเป็นโรคเสี่ยงที่คนไทยไม่ควรละเลย!
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต