คณะอนุกรรมการฯ หวัด 2009 ร่วมประชุมความร่วมมือเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของหวัด 2009 ร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ.นครราชสีมา

นายชวน ภูสมบัติ อายุ 54 ปี พนักงานผู้ช่วยเหลือคนไข้ โรงพยาบาลขอนแก่น เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า เริ่มเข้าทำงานตั้งแต่ปี 2516 ตอนนั้นอายุประมาณ 18 ปี เหจุที่ต้องมาทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่เป็นชาวนามีลูกหลายคน พอเรียนจบ มศ.3 จึงต้องออกมาทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้าน เริ่มแรกเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานผู้ช่วยเหลือคนไข้ที่ตึกศัลยกรรมกระดูกและข้อชาย ทำได้ประมาณ 2-3 เดือน หลังจากนั้นจึงย้ายไปที่แผนกเอ็กซเรย์

เริ่มสูบบุหรี่เมื่อประมาณปี 2520 ตอนนั้นอายุ 22 ปี สาเหตุที่ทำให้อยากสูบบุหรี่มี 3 ปัจจัย ได้แก่

1. อยากลอง เห็นผู้ใหญ่สูบจึงอยากสูบ

2. รู้สึกว่าเป็นผู้ชายถ้าสูบบุหรี่แล้วจะเท่

3. ต้องการให้เพศตรงข้ามสนใจ คิดว่าการสูบบุหรี่แสดงถึงความเป็นชายมากยิ่งขึ้น

ครั้งแรกที่สูบผมจะไอมาก จึงเลิกสูบไป แต่พอได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่สูบบุหรี่บ้าง เห็นเพื่อนร่วมงานสูบบ้างก็ทำให้ตนเองอยากสูบ และสูบมากขึ้นเรื่อย จากที่เคยไอเมื่อสูบ อาการนั้นก็หายไป และสูบบ่อยมากขึ้นจนรู้สึกว่าขาดไม่ได้ หลังจากทานข้าวก็ต้องสูบบุหรี่เป็นประจำทุกวัน จนกระทั่งแต่งงาน

ผมคิดว่าลูกมีความสำคัญในการทำให้เราสามารถเลิกสูบบุหรี่ได้ ผมมีลูก 4 คน เป็นหญิง 3 คน ชาย 1 คน ลูกสาวคนโตเป็นพยาบาล คนที่สองเป็นสาวโรงงาน ลูกสาวคนที่สามเป็นนักสังคมสงเคราะห์ และลูกชายคนสุดท้องกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 4 โดยเฉพาะคนสุดท้องนี่สำคัญมาก ผมได้พยายามเลิกบุหรี่มาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2538 ตอนนั้นผมสูบวันละ 1 ซอง คือประมาณ 20 มวน หลังจากนั้นก็เริ่มสูบหนักขึ้นเป็นวันละ 2 ซอง โดยจะสูบชั่วโมงละประมาณ 2-3 มวน ยิ่งวันยิ่งสูบหนัก สูบมากจนรู้สึกแสบคอ จนแทบกลืนอะไรไม่ได้เลย

นอกจากสูบบุหรี่หนักแล้วยังดื่มหนักด้วย เพราะเครียดครอบครัวประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งค่าครองชีพในครัวเรือน ค่าเรียนลูก ลูก 3 คน เริ่มเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา จึงกลัวว่าจะไม่มีเงินมาส่งลูกเรียน แต่ผมเป็นคนใจสู้ ไม่ย่อท้อ จึงทำงานประจำควบคู่ไปกับการทำนา เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวมากขึ้น เฉพาะเงินเดือนที่ได้รับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย พอลูกสาวคนโตสอบเข้ามหิดลได้ จึงคิดว่าอยากจะเลิกสูบ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ประกอบกับตรวจสุขภาพประจำปีพบว่า ตนเองเป็นฝีในปอด และอาจทำให้เป็นวัณโรคได้ ซึ่งตอนนั้นเลิกได้แต่ก็กลับมาสูบอีก เพราะจิตใจไม่เข้มแข็งพอ เห็นคนรอบข้างสูบทั้งในที่ทำงาน ทั้งในชุมชน เราก็อยากสูบด้วยจึงเป็นอุปสรรคที่ทำให้เลิกสูบไม่ได้

ต่อมาในปี 2542 ได้พยายามเลิกสูบบุหรี่เป็นครั้งที่ 2 โดยเข้าร่วมโครงการลด ละ เลิกบุหรี่กับกลุ่มงานสุขศึกษา ตอนนั้นเลิกได้ 1 เดือนกับ 3 วัน ก็กลับมาสูบใหม่อีกครั้ง ครั้งสุดท้ายปี 2549 ได้เข้าร่วมโครงการลด ละ เลิกบุหรี่กับกลุ่มสุขศึกษาอีกครั้ง ครั้งนี้ทำให้สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้แบบเต็มใจ เป็นความภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะไม่หวนกลับไปสูบอีกโดยเด็ดขาด เนื่องจากการจัดกิจกรรมมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม มีการติดตามผลทุกเดือน เป็นการจัดกิจกรรมนอกสถานที่ วิทยากรซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กลุ่มงานสุขศึกษาและพยาบาลจิตเวชที่มีความรู้ความสามารถ พูดให้กำลังใจและชี้แนะแนวทางให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ มีการฝึกสมาธิจากชมรมจริยธรรม สามารถทำให้ผมรับรู้ตนเองมากขึ้น มองเห็นสภาพแวดล้อมที่ดีและไม่ดี ทำให้ได้ข้อคิดดีๆ มีกำบังใจมากขึ้น จนสามารถต่อสู้กับอุปสรรคได้เป็นอย่างดี และสามารถปฏิบัติได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม

โดยเฉพาะพยาบาลจิตเวช เป็นกำลังใจที่สำคัญมาก พยาบาลมาถามผมว่าอยากเลิกบุหรี่หรือไม่ ผมตอบว่าอยากเลิก พยาบาลจึงถามต่อว่า แล้วทำไมเลิกไม่ได้ แล้วครอบครัวมีลูกกี่คน มีลูกชายหรือไม่ เรียนอยู่ชั้นไหน เขาสูบบุหรี่รึเปล่า ผมก็ตอบกลับคืนไปว่า มีลูกชาย เรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว แต่เขาไม่สูบบุหรี่ แล้วพยาบาลก็ถามผมต่ออีกว่า แล้วใครสอนเค้าไม่ให้สูบบุหรี่ จากประโยคนี้ ผมจึงคิดได้ว่าเราต้องมองดูตัวเราเองก่อน เราจะได้รู้ว่าตอนนี้เราเป็นอะไรและกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าเราไม่สูบบุหรี่จะทำได้หรือไม่ พยาบาลจึงแนะนำให้ผมกำหนดเป้าหมายว่าจะเลิกวันไหน ผมตอบกลับไปว่า จะเลิกให้ได้ภายในวันเกิดตนเอง คือ วันที่ 10 เมษายน จากที่เคยสูบวันละซองครึ่ง

อาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ผมตั้งใจว่าจะลดเหลือวันละมวน ถึงครึ่งมวน ในระหว่างที่ทำการเลิกบุหรี่ ผมจะแยกตัวเองออกมานอนที่บ้านสวน ซึ่งห่างจากบ้านใหญ่ประมาณ 1 กิโลเมตร เพราะ 2 ครั้งที่แล้วที่พยายามเลิกบุหรี่เลิกที่บ้านใหญ่ แต่ทำไม่ได้ เนื่องจากเห็นคนอื่นสูบ ครั้งนี้จึงมาเลิกที่บ้านสวน บุหรี่มวนสุดท้ายที่ผมสูบ ตอนนั้นผมจำได้ว่าเป็นวันศุกร์ ตื่นนอนตอนเช้าผมจะเข้าไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำ สูบได้ครึ่งมวนจึงเก็บอีกครึ่งมวนที่เหลือไว้ในห้องน้ำ คิดว่าหลังจากกลับมาจากที่ทำงานแล้วจะกลับมาสูบต่อในตอนเย็น พอถึงตอนเย็นผมคิดว่าอีก 1 ชั่วโมงจะเข้าไปสูบ เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงก็ทนได้ 2 ชั่วโมงก็ทนได้…3 ชั่วโมงก็ทนได้ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นก็ไม่รู้สึกอยากสูบ ไม่รู้สึกหงุดหงิดอะไรเลย บุหรี่ครึ่งมวนที่เหลือ ผมจึงขยำทิ้งลงน้ำพร้อมกับบุหรี่ที่เหลืออยู่ในซองอีกประมาณ 7-8 มวน

ตอนนั้นเลิกได้ก่อนเป้าหมายที่กำหนดไว้ประมาณ 10 วัน คือ ช่วงอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 หลังจากนั้นกลุ่มงานสุขศึกษาได้จัดกิจกรรมพาบุคลากรที่เข้าร่วมโครงการลด ละ เลิกบุหรี่ ไปไหว้พระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทำให้ผมได้เห็นสิ่งดีๆ และคิดว่ากลุ่มงานสุขศึกษาได้เล็กเห็นความสำคัญของสุขภาพของเราแล้วทำไมจะเลิกไม่ได้ หลังจากนั้นผมจึงเลิกสูบบุหรี่ได้อย่างสมบูรณ์ รวมระยะเวลาที่สูบบุหรี่ทั้งหมดประมาณ 30 ปี (ตั้งแต่ปี 2520-2550) หลังจากเลิกแล้วน้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อก่อนตอนสูบบุหรี่น้ำหนักประมาณ 49 กิโลกรัม พอเลิกสูบเพิ่มขึ้นประมาณ 10 กิโลกรัม เป็น 60 กิโลกรัม แต่ไม่ถึงกับอ้วนจนเป็นเบาหวาน ร่างกายสมส่วนกำลังดี แข็งแรง หน้าตาผ่องใส จนคนรอบข้างชอบทักว่าหน้าตาดูดีขึ้น สมบูรณ์ดี และอย่างน้อยๆ พอเลิกสูบบุหรี่ได้คนในครอบครัวมีความสุข ไม่เหมือนแต่ก่อน ลูกๆ ได้กลิ่นควันบุหรี่ก็ไม่อยากเข้าใกล้

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผมเลิกบุหรี่ได้นั้นมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่

1. จิตใจของตนเอง เราต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง

2. กำลังใจจากครอบครัว (คนรอบข้าง) ลูกกับภรรยาสำคัญที่สุด ถ้ารักลูกรักภรรยาก็ต้องเลิกได้

3. อนาคตของลูก ผมสัญญากับลูกไว้ว่า ถ้าลูกสาวคนที่ 3 สอบเข้าทำงานได้ และลูกชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเลิกทันที ปรากฏว่าลูกสอบได้ทั้ง 2 คน และในที่สุดผมก็เลิกบุหรี่ได้สำเร็จเช่นกัน

ผมอยากจะบอกท่านที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ ถ้าคิดอยากจะเลิกต้องหาเป้าหมายของตนเองให้ชัดเจนก่อน คือให้คิดว่าเราเลิกเพื่อใคร และจะทำได้หรือไม่ อยากให้ถามในตนเองก่อน ถ้าคิดว่าได้แล้ว จึงให้คำมั่นสัญญา ที่สำคัญอย่าคิดประมาทบุหรี่…อย่าท้าว่าเรื่องแค่นี้เลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วผลัดวันไปเรื่อยๆ ว่าวันนั้นจะเลิก วันนี้จะเลิก ถ้าคิดจะทำต้องทำเลย ผมขอให้ทุกคนชนะใจตนเองให้ได้ครับ

สุดท้ายผมขอฝากคติเตือนใจในการดำเนินชีวิต ที่ช่วยให้ผมประสบความสำเร็จ ได้แก่

1. ความขยัน งานอดิเรกของผม คือ การทำนา ผมเป็นลูกชาวนาแต่กำเนิด และมีที่ดิน ซึ่งเป็นมรดกของภรรยาอยู่ 5 ไร่ จึงเริ่มทำนาเองตั้งแต่ปี 2523 เรื่อยมาจนปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันผมมี่นาเพิ่มขึ้นเป็น 12 ไร่ ตอนนี้ผมทำนา ทำสวน และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ผมได้เข้าร่วมกลุ่มกับชมรมชุมชนนักปฏิบัติ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของโรงพยาบาลขอนแก่น โดยยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพเสริม

2. ความอดทน เมื่อมีความขยันแล้วจะต้องมีความอดทนอดกลั้น สามารถรอคอยทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ เมื่อเรากระทำสิ่งใดไปแล้วจะต้องมีช่วงเวลาที่รอคอยผลจากการกระทำ ไม่มีอะไรที่ทำแล้วเห็นผลทันทีเหมือนเปิดพัดลม เปิดน้ำประปา เราต้องรู้จักรอคอยและอดทน ในที่สุดเราจะได้ภูมิใจเมื่อความสำเร็จนั้นปรากฏ

3. ความประหยัด อดออม การใช้จ่ายของคนทุกคนไม่เท่าเทียมกัน ฐานะความเป็นอยู่ก็ต่างกัน ดังนั้นทุกคนต้องรู้จักประหยัด เพื่ออนาคตของตัวเราเองและคนในครอบครัว

4. ความซื่อสัตย์ เริ่มจากซื่อสัตย์กับตนเอง เมื่อเรามีความซื่อสัตย์ต่อตนเองแล้ว ก็จะต้องมีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพ รวมถึงคนในสังคมด้วย

5. การมีคุณธรรม การมีคุณธรรมประจำใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าผู้ใดมีคุณธรรมสูงส่งแล้วจะได้รับการยอมรับจากสังคมและผู้อื่น

 

 

ที่มา : มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  

Shares:
QR Code :
QR Code