ข้าวไรซ์เบอรี่ แก้หนี้ แก้จน
“ชาวนา คือกระดูกสันหลังของชาติ” คำกล่าวที่สะท้อนบทบาทสำคัญของอาชีพชาวนาที่หากขาดไป ไทยอาจถึงขั้นไม่สามารถคงความเป็นชาติอยู่ได้ แต่หากหันมาดูสภาพความเป็นอยู่ของผู้มีบทบาทสำคัญขนาดนี้ ส่วนใหญ่กลับยากจน ติดอยู่ในวงจรหนี้ชนิดแทบหาทางออกไม่เจอ
“การปฏิวัติการปลูกข้าว ให้ชาวนาหลุดจากวัฏจักรความยากจนด้วยการต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม ให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น” คือแนวคิดของ ชัชวาล เวียร์รา ชายวัยเกษียณในจังหวัดสิงห์บุรี ชาวนาใจดีที่มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ ณ ศูนย์การเรียนรู้พันธุ์ข้าวชุมชนบ้านดักคะนน ตำบลธรรมามูล อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท แหล่งเรียนรู้การทำเกษตรแบบผสมผสาน ที่ได้รับการส่งเสริมจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำให้เกิดการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
ลุงชัชวาล เล่าว่า การปฏิวัติการปลูกข้าวของตน เริ่มต้นเมื่อ 8 ปีก่อน จากชายวัยเกษียณที่ถนัดเรื่องช่างกล เล็งเห็นว่าไม่มีโรงสีแห่งใดขาดทุน จนต้องปิดโรงงาน แต่ชาวนาที่เป็นคนขายข้าวให้โรงสีกลับมีหนี้สิน ที่นาก็ต้องเช่า ข้าวที่ปลูกยังแทบไม่มีเหลือไว้กินเอง
การปฏิวัติของชาวนาท่านนี้ เริ่มที่การคัดเลือกสายพันธุ์ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่ผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างข้าวหอมนิลกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 จากการพัฒนาพันธุ์ข้าวพิเศษ โดยศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีเม็ดเรียวยาวสีม่วงเข้ม เมื่อหุงแล้วเม็ดข้าวมันวาว มีกลิ่นหอมมะลิ นุ่มน่ารับประทาน ตลาดต้องการเป็นอย่างมาก
“ปลูกแทบไม่พอขาย ลูกค้าต้องโทร.สั่งจอง หรือไม่ก็มาแย่งกันถึงบ้าน โรงแรมระดับห้าดาวในกรุงเทพฯ ก็เป็นลูกค้าด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ข้าวเปลือกสายพันธุ์ไรซ์เบอรี่สีม่วง 1 ตัน ปกติจะได้ข้าวสาร 600 กิโลกรัม แต่ถ้านำมาบีบอัดจมูกข้าว จะได้รำข้าวเป็นแผ่นบางๆ จำนวน 100 กิโลกรัม ซึ่งเป็นสุดยอดคุณค่าทางอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี สังกะสี โฟเลต และสารอาหารอื่นที่มีประโยชน์สูงมาก นำมาเป็นอาหารเสริม ชงดื่มพร้อมเครื่องดื่มมื้อเช้า เช่น น้ำเต้าหู้ หรือเครื่องดื่มมอลต์สกัดก็ได้” ลุงชัชวาล กล่าว
ลุงชัชวาล บอกด้วยว่า ไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการชั้นยอด ยังสร้างรายได้จากรำข้าวที่บีบอัดนี้สูงถึงกิโลกรัมละ 2,000 บาท หรือคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 200,000 บาท และในระหว่างการบีบอัด รำข้าว ยังมีน้ำมันรำข้าวไหลออกมาอีกประมาณ 8 ลิตร ซึ่งท้องตลาดซื้อ-ขายกันแคปซูลละ 5 บาท น้ำมันรำข้าว 1 ลิตรบรรจุได้ 1,900 แคปซูล รวมบรรจุได้ 9,500 แคปซูล จำหน่ายได้ 76,000 บาท
นั่นเท่ากับว่า ข้าว 1 ตัน สามารถขายรำข้าวบีบอัด 100 กิโลกรัม ได้ 200,000 บาท และขายน้ำมันรำข้าว 8 ลิตร ได้ 76,000 บาท รวมเป็น 276,000 บาท จากเดิมขายข้าวเปลือกได้ไม่ถึง 20,000 บาทเท่านั้น!
ลุงชัชวาล บอกว่า การลงทุนต้องมีบ้าง เพราะเครื่องจักรที่ใช้บีบอัดจมูกข้าวมูลค่ากว่า 200,000 บาท ต้องมีเป็นส่วนตัวที่บ้าน แต่ก็สามารถคืนทุนได้หลังการจำหน่ายข้าวเพียงแค่ 2 ครั้ง ทุกวันนี้หากลูกค้าคนใดซื้อผลิตภัณฑ์รำข้าว หรือน้ำมันรำข้าว ตนยังแถมข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ปลอดสารพิษไปให้รับประทานที่บ้านด้วย
นี่คือการปฏิวัติการเกษตรจากประสบการณ์ตรงตลอด 8 ปีของลุงชัชวาล ที่พิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นชาวนาไทยก็สามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีปราศจาคหนี้สินได้ โดยชาวนาใจดี บอกว่า พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้นี้ให้กับผู้ที่มีใจรักจริงในอาชีพกระดูกสันหลังของชาติ และต้องการหลุดจากวงจรเดิมๆ
“ผมยินดีหากใครต้องการเรียนรู้ และมุ่งมั่นในการปลูกข้าวกล้องชนิดนี้ มาอยู่ที่บ้าน มาเรียนรู้ตั้งแต่การเตรียมดินดำนา จนกระทั่งการบีบอัดรำข้าวออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ เพราะผมคิดว่าเราต้องต่อยอดความคิดจากต้นทุนที่มีอยู่ เพิ่มมูลค่าให้มีรายได้มากขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” ลุงชัชวาล กล่าว
หนึ่งในต้นแบบของชาวนาที่ไม่ยอมติดอยู่ในวงจรเดิมๆ แต่กล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติการปลูกข้าวแบบใหม่ และพร้อมแล้วที่จะถ่ายทอดต่อยังผู้สนใจ เพื่อนำไปปรับใช้เพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวของตนเอง
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง