ข้อเสนอเชิงรุก “แรงงานนอกระบบ”
สร้างฐานการออมก่อนชราภาพ
ตามความคาดการณ์ กองทุนประกันสังคมจะประสบปัญหาเงินกองทุนหมดลงใน ปี 2597 ซึ่งรัฐบาลต้องรับภาระหนี้สินจำนวนมากในอีก 47 ปีข้างหน้า และรัฐบาลจะมีภาระการคลังสูงถึง 906,233 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มขึ้นเป็น 3,124,267 ล้านบาทในปีถัดไป โดยเป็นภาระผูกพันที่จะเพิ่มขึ้นตามอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นและจำนวนผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
แรงงานนอกระบบซึ่งเป็นแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศถึงร้อยละ 70 ของผู้มีงานทำทั่วประเทศ ยังไม่ได้รับการคุ้มครองเพื่อการชราภาพใดๆ ประกอบกับประเทศไทยกำลังประสบปัญหา การเปลี่ยนโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว โดยมีสัดส่วนประชากรวัยสูงอายุ ต่อประชากรรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายใน 25 ปี โดยเพิ่มจากร้อยละ 9.4 ในปี 2543 เป็นร้อยละ 18.21 ในปี 2568 และอัตราการพึ่งพิงของผู้สูงอายุต่อประชากรวัยทำงาน (Elderly Dependency Ratio) เพิ่มสูงขึ้นถึง 2 เท่า จากร้อยละ 14.30 เป็น 28.09 การเปลี่ยนแปลงประชากรจะนำภาระหนี้สินมาสู่ภาครัฐจำนวนมากในอนาคต
แนวโน้มคนสูงวัยเพิ่มขึ้นรัฐแบกภาระหนัก
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเลี้ยงดูผู้สูงอายุที่ด้อยโอกาสมาอย่างต่อเนื่อง พบว่ามีภาระทางการคลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยพบว่า ปี 2563 รัฐจะต้องรับภาระดูแลผู้สูงอายุ 3.0 ล้านคน ใช้งบประมาณจำนวน 17,835 ล้านบาท
จากการสำรวจข้อมูลกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุ ส่วนใหญ่เป็นองค์กรการเงินชุมชน พบว่าไม่มีกองทุนฯ ใดเลยที่มีสถานะทางกฎหมายรองรับ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงขององค์กรการเงินชุมชน ต้องรับผิดชอบและเริ่มมีปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในการดำเนินงานเรื่องความมั่นคงในระยะยาว ทั้งการขาดความมั่นใจเกี่ยวกับหลักประกันด้านสิทธิประโยชน์ เพราะไม่สามารถกำหนดช่วงระยะเวลาของการอยู่ในวัยชราภาพของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน
แผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ จึงจัดตั้งข้อเสนอโครงการเชิงรุก การสร้างระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุสำหรับแรงงานนอกระบบ การพัฒนากลไกและการบริหารจัดการในระดับท้องถิ่นร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ประกันสังคม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยึดศักยภาพการพัฒนาระบบการออมของประเทศโดยนำการบริหารโครงการของผู้อำนวยการสุวัฒนา ศรีภิรมย์ กลุ่มนโยบายระบบการออม สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อเตรียมพื้นที่ต้นแบบ และดึงกลไกท้องถิ่นเข้ามาทำงานร่วม
ท้องถิ่น กลไกจัดระบบการออม
ตัวเลขขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) เป็นหน่วยงานรัฐ (รัฐบาลท้องถิ่น) ที่อยู่ใกล้ชิดกับแรงงานนอกระบบมากที่สุด ซึ่งมีจำนวนถึง 7,919 แห่ง โดยแบ่งเป็นเทศบาล (ตำบล เมือง นคร และมหานคร) จำนวน 1,184 แห่งและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จำนวน 6,735 แห่ง
โดยรัฐบาลกลางได้มีการกระจายการดำเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพประชาชนผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหลัก ตาม พ.ร.บ. การกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น พ.ศ.2542 ทั้งในเรื่องของเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุ การจัดสรรสวัสดิการชุมชนสำหรับประชากรในเขตความรับผิดชอบ การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ การจัดบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ กองทุนสุขภาพท้องถิ่น การเสริมสร้างความมั่นคงครอบครัวและชุมชน และอื่นๆ อีกมากมาย
แรงงานนอกระบบ เป็นแรงงานที่มีความยืดหยุ่น มีการปรับเปลี่ยนสถานภาพทางอาชีพและรายได้รวมถึงสถานที่ในการทำงานสูง การใช้ฐานพื้นที่องค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนนโยบายท้องถิ่นจึงเป็นทางออกหรือทางเลือกที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการออมภาคครัวเรือนแก่แรงงานนอกระบบและแรงงานระดับรากหญ้า, ลดภาระทางการคลังของรัฐบาลท้องถิ่นสำหรับการจ่ายเบี้ยอาชีพสำหรับผู้สูงอายุในเขตรับผิดชอบในอนาคต, สร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับแรงงานนอกระบบในยามเกษียณอายุไว้ใช้ไปตลอดอายุขัย ในระดับที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ไม่ตกไปสู่ความยากจน, เพิ่มเงินออมระยะยาวให้เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาประเทศ สุดท้ายเพื่อสร้างระบบการกำกับดูแล และการบริหารจัดการเงินออมขององค์กรการเงินชุมชน
การเตรียมพร้อมในการทำโครงการเชิงรุก จะช่วยแก้ปัญหาและข้อกำจัดเรื่องของการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ เพื่อการพัมนาตนเองและครอบครัว การมองไม่เห็นคุณค่าของความเป็นแรงงานนอกระบบทั้งในมิติเศรษฐกิจ มิติทางสังคมและวัฒนธรรม มิติทางการเมือง ของสังคมและรวมถึงหน่วยงานภาครัฐ จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เพราะพลังและจำนวนของประชากรวัยแรงงานในชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ สามารถที่จะใช้ศักยภาพของการรวมตัวที่เชื่อมโยงกับการเมืองท้องถิ่นในการที่จะผลักดันนโยบายท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ซึ่งขั้นต่ำสุดคือ การผลักดันให้เป็นข้อบังคับท้องถิ่น (ระดับ อบต.) หรือเทศบัญญัติ (ระดับเทศบาล) และขั้นสูงสุดคือ การผลักดันให้มีการพัฒนามาตรการพัฒนามาตรการเชิงบริหารในระดับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อให้เกิดแนวทางปฎิบัติในทิศทางเดียวกันทั่วประเทศโดยที่ไม่ขัดต่อระเบียบการเงินการคลังและพ.ร.บ.ต่างๆ ที่ใช้เป้นแนวปฎิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
Update 30-04-52