ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้
เพื่อประเทศไทยยั่งยืน
ท่ามกลางข้อถกเถียงว่าด้วยความเหมือนหรือไม่เหมือนระหว่าง “ประชาวิวัฒน์” กับ “ประชานิยม” คนที่รู้หน้าที่และมีความรับผิดชอบก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองตามพันธกิจสัญญาต่อไป แม้บางครั้งอาจจะเกิดคำถามในใจว่า การปฏิรูปประเทศไทยจะเดินไปทางไหน ในเมื่อผู้มีอำนาจรัฐในมือ มักเลือกที่จะหยิบประเด็นปัญหาขึ้นมาบริหารจัดการก่อนหลัง บนพื้นฐานผลประโยชน์ การมีส่วนได้ส่วนเสียของตนเองมากกว่าที่จะมองภาพรวม
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปที่มี ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานนับเป็นเครื่องพิสูจน์ ถึงความเอาจริงเอาจังต่อหน้าที่และความรับผิดชอบในการที่จะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า วางแผนการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน บนหลักการพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด
ด้วยหน้าที่ของความเป็นคนไทย และด้วยความรับผิดชอบที่ตกลงรับคำเชื้อเชิญของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในการสร้างโรดแม็พปฏิรูปประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2553 ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ก็ได้ยื่น (ร่าง) ข้อเสนอ 9 ข้อ ของสมัชชาปฏิรูป ต่อรัฐบาลหลังการปาฐกถาหัวข้อ “ข้อเสนอประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ในโอกาสที่สำนักปฏิรูป (สปร.) จัดระดมความคิดเห็นสื่อมวลชน “จุดประกายการปฏิรูปโดยพลังการสื่อสาร” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ
ภาพที่เห็นนายกรัฐมนตรีไปฟังและรับข้อเสนอด้วยตัวเองในวันนั้น น่าจะทำให้กลุ่มคนที่มองเห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และได้ทุ่มเทความพยายามต่างๆ ระดมสมองและความร่วมมือกันทุกภาคส่วนขับเคลื่อนให้การปฏิรูปเกิดขึ้น รู้สึกอุ่นใจไม่มากก็น้อย เพราะการเดินทางสายปฏิรูปซึ่งยาวไกลเหลือเกินนี้ ต้องการพลังแห่งความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและจริงใจนั่นเอง
ข้อเสนอประชาชนปฏิรูปประเทศไทย โดยคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป จำนวน 9 ข้อ ประกอบด้วย 1. ให้สื่อมวลชนของรัฐทำการสื่อสารเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย 2. สนับสนุนให้มีการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง 3. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรับทิศทางใหม่ประเทศไทย โดยมีเป้าหมายใหม่ และดรรชนีพัฒนาใหม่ ที่ถือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและการมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่เป็นตัวตั้ง 4. ให้ส่วนราชการปรับบทบาทจากการเอากรมเป็นตัวตั้ง เป็นเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง และเมื่อมีความพร้อมให้ออกกฎหมายการบริหารประเทศโดยปลดล็อคอำนาจของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเองให้ได้มากที่สุด
5. ให้มหาวิทยาลัยของรัฐสนับสนุนความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นและการพัฒนาอย่างบูรณาการในจังหวัด อย่างน้อย 1 มหาวิทยาลัย ต่อ 1 จังหวัด 6. ให้กระทรวงยุติธรรม ปฏิรูประบบความยุติธรรม โดยยกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ดำเนินการศูนย์ยุติธรรมชุมชน เสนอปฏิรูปกฎหมายเพื่อคนจน และจัดตั้งกลไกในการวิจัยและพัฒนาระบบความยุติธรรมทั้งหมด 7. ให้กระทรวงการคลังเสนอการปฏิรูประบบภาษีเพื่อความเป็นธรรมและปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม และปฏิรูปการเงินการคลังเพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และ 9. ให้หน่วยงานของรัฐรับข้อเสนอทางนโยบายจากที่ประชุม คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปไปปฏิบัติและร่วมมือกับคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปในการติดตามการปฏิบัติ และสร้างกลไกในความร่วมมือทางนโยบายระหว่างประชา – รัฐ ให้เป็นการถาวรต่อไป
ผมคิดว่าเป็นข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ และไม่ควรปฏิเสธเด็ดขาด!
เพราะทั้ง 9 ข้อ ครอบคลุม และตอบโจทย์ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เรากำลังมองหาวิธีการแก้ไขเยียวยาได้อย่างยั่งยืนครับ แต่ทุกข้อคงต้องใช้เวลา เพราะนี่คือการปฏิรูป ไม่ใช่การปฏิวัติจริงไหมครับ เหมือนอย่างที่ ศ.นพ.ประเวศ มักจะตอกย้ำในทุกเวทีว่า
“การปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องยาก และรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมาไม่ว่า อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เนื่องจากการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ต้องอาศัยพลังของประชาชนในการปฏิรูป ที่เรียกว่า ประชาชนปฎิรูปประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้เกิดขึ้นจริง”
ผมเองก็ขอร่วมยกมือสนับสนุนว่า การปฏิรูปจะไปได้ดี และประสบความสำเร็จตามความคาดหวัง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจกับเจ้าของประเทศ หรือคนไทยทั้งชาติครับ เพราะเราได้พิสูจน์ทราบมามากกว่ากึ่งศตวรรษแล้วว่า พลังอำนาจรัฐเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอในการเปลี่ยนแปลงประเทศ หากประชาชนไม่พร้อม
ข้อเสนอ 9 ข้อถือเป็นยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยที่เริ่มจากฐานราก เพราะการติดอาวุธทางปัญญาให้กับประชาชน จะช่วยผลักดัน สร้างความเข้มแข็งให้กับพลังมวลชน จนเกิดแรงขับเคลื่อนสู่การปฏิรูป และอีกทางหนึ่งก็จะเป็นเสมือนแรงกดดันให้พลังอำนาจรัฐต้องทำหน้าที่ในการปฏิรูป ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงไปสักกี่ชุด หรือเปลี่ยนหน้าตาผู้นำจากสุดหล่อไปเป็นสุดขี้เหร่เพียงใดก็ตาม
ข้อเสนอทั้ง 9 ข้อ เล็งเห็นความสำคัญที่จะต้องปฏิรูปจิตสำนึกของทุกฝ่ายให้มีเป้าหมายร่วมกันที่จะสร้างสังคมที่ดี
ข้อเสนอทั้ง 9 ข้อ มาจากการตกผลึกทางความคิดแล้วว่า การปฏิรูปแบบในอดีตที่ใช้อำนาจบริหารเป็นศูนย์กลางแจกจ่ายไปให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ปฏิบัติ โดยมิได้สนใจความต้องการที่แท้จริงของชุมชนและท้องถิ่นประสบความล้มเหลว ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนจากการรวมศูนย์อำนาจมาเป็นการใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ซึ่งประธานสมัชชาปฏิรูปบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า “เทศาภิวัฒน์” นั่นคือให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการทรัพยากร การทำมาหากินด้วยตนเอง เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้ว ข้อเสนอทั้ง 9 ข้อ หากมีความจริงใจจากพลังอำนาจรัฐเป็นองค์ประกอบร่วมล่ะก็ ผมเชื่อว่าระบบต่างๆ ข้อจำกัด ระเบียบปฏิบัติ กติกา กฎหมาย ที่เป็นปัญหาขวางทางการปฏิรูปก็จะสามารถแก้ไข บรรเทา และเชื่อมโยงให้เกิดโครงสร้างใหม่ที่ปรารถนาได้เร็วกว่าที่ต้องให้พลังประชาชนแสดงอำนาจขับเคลื่อนและกดดันอย่างแน่นอน
ฉะนั้น เพื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตที่ดีกว่าและยั่งยืน ผมถึงบอกว่านี่เป็นข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update : 23-12-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : กิตติภานันทร์ ลีจันทึก