ขาดสิทธิ!! ทุกข์คนไร้สัญชาติ
พบโรคแพร่ระบาดมากขึ้น แถมดื้อยา พร้อมตั้งกองทุนดูแลคนกลุ่มนี้
“โรคภัยไข้เจ็บ” เรื่องที่คาดเดาไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่กับใคร แต่สำหรับคนไทยแล้วถือเป็นความโชคดีที่มี “โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ให้ทุกคนสามารถเข้ารับสิทธิในการรักษาได้อย่างทั่วถึงและครบถ้วน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจะได้รับสิทธินั้น…โดยเฉพาะกลุ่ม $“คนไร้สัญชาติ” หรือ “คนไร้สถานะ” นั่นเอง
ซึ่งคนเหล่านี้เข้ามาอาศัยตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยปู่ย่า ตายาย ส่วนมากจะพบตามแนวชายแดน แต่เนื่องจากปัญหาความมั่นคงและกฎหมายของประเทศไทยหลายอย่าง ส่งผลให้พวกเขาไม่ได้รับ “สัญชาติไทย” และ ตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ที่ระบุว่าการจัดระบบบริการสุขภาพจะได้เฉพาะผู้ที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น ส่งผลให้ต้องถูกตัดสิทธิต่างๆ ที่คนไทยคนหนึ่งพึงได้รับ โดยเฉพาะเรื่องของการรักษาพยาบาล โดยเห็นได้ชัดจาก ข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ปี 2552 ที่มีการสำรวจตามแนวจังหวัดชายแดน พบว่ามีการแพร่ระบาดของโรคมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโรคมาลาเรีย ซึ่งมีรายงานผู้ป่วยแล้วกว่า 1 หมื่นราย คิดเป็น 40 % ของผู้ป่วยทั้งประเทศ
นอกจากนี้ยังพบโรคไข้ไทฟอยด์และไข้แอนเทอริคสูงที่สุดในประเทศอีกด้วย และที่น่ากลัวไปกว่านั้น ยังพบว่ามีผู้ป่วยเป็นวัณโรคและมีแนวโน้มดื้อยาเพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าหากไม่มีการควบคุมโรคเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจส่งผลให้มีการแพร่ระบาดไปยังจังหวัดใกล้เคียงได้โดยง่าย
หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างร่วมกันผลักดันให้รัฐหันมาให้ความช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ โดยมุ่งไปที่กลุ่มคนที่รอพิสูจน์สถานะบุคคล ที่มีอยู่ราว 457,409 ชีวิต
เพื่อลดปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ล่าสุด!! คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ อนุมัติงบประมาณ โดยจัดตั้งเป็น “กองทุนบริการสาธารณสุขเพื่อประชาชนที่รอพิสูจน์สถานะบุคคล” เพื่อนำไปใช้การดูแลสุขภาพและการรักษาพยาบาลของคนกลุ่มนี้แล้ว หลังจากมีการเรียกร้องสิทธิส่วนนี้มาเป็นเวลากว่า 5 ปี โดยแบ่งบุคคลที่ได้รับสิทธิออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มที่รัฐให้การรับรองให้อยู่ในประเทศไทยโดยถาวร จำนวน 90,000 ราย 2.กลุ่มที่ รัฐผ่อนผันให้อาศัยเป็นการชั่วคราว เพื่อรอพิสูจน์สถานนะบุคคล โดยมีแนวโน้มว่าจะได้รับสัญชาติ จำนวน 296,863 ราย และ 3 กลุ่มนักเรียนที่ได้รับสิทธิเรียนฟรี ตามนโยบายรัฐบาล แต่ยังไม่ได้บริการด้านรักษาพยาบาลและเป็นกลุ่มที่ได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติมีบัตรประจำตัวชัดเจนแล้ว จำนวน 70,513 คน โดยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เฉลี่ยคนละ 2,067 บาทต่อปี มีผลบังคับใช้วันที่ 1 เม.ย.นี้
นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้คนไทยทั้งประเทศมีสุขภาพดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคนกลุ่มนี้จะได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลตามกฎหมาย แต่ปัญหาอาจยังไม่หมดไป เพราะนี่เป็นเพียงส่วนน้อยที่ได้รับการรักษาเท่านั้น หากเปรียบเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่มีสัญชาติไทยทั่วประเทศ แล้วคนที่เหลือล่ะ!! จะทำอย่างไร โรงพยาบาลในเขตชายแดนต้องแบกรับภาระเรื่องนี้ต่อใช่หรือไม่? ทางออก ทางเลือก ทางรอดยังมีอีกหรือเปล่า คำถามเหล่านี้ยังเป็นโจทย์ที่ทุกฝ่ายจะต้องแก้ต่อไป!!
…นอกเหนือจากค่ารักษาพยาบาลแล้ว “ความแตกต่างกันในเรื่องของภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร” ก็ยังส่งผลให้การรักษาเป็นไปอย่างยากลำบาก ซึ่งหากแพทย์ผู้รักษาและผู้ป่วยเข้าใจซึ่งกันและกัน ก็จะส่งผลให้การรักษาเป็นไปอย่างตรงจุด เกิดประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น ซึ่งนั่นจะช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคลงไปได้มากทีเดียว…
แต่อย่างไรก็ตาม 1 เมษายนนี้ ก็ถือเป็นฤกษ์งามยามดีของคนที่รอพิสูจน์สถานะ ที่จะได้รับการรักษาอย่างคนไทยคนหนึ่ง ส่วนในอนาคตคณะรัฐมนตรีจะมีมติเห็นชอบ อนุมัติงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือ “คนไร้สถานะ” ทั้งหมดได้หรือไม่นั้น คงต้องคอยจับตาดูกันต่อไป
“อโรครา ปรมา ลาภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”
ดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงเพื่อจะได้ไม่ต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนะครับ
ที่มา: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th
Update:25-03-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่