ของดีจาก ‘ขี้หมู-กิ่งไม้’ พลังงานทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพ
ใครจะคิดว่า วันหนึ่งสิ่งน่ารังเกียจอย่างขี้หมู หรือสิ่งที่คนมองข้ามอย่างกิ่งไม้ จะกลายเป็นของมีค่าขึ้นมาได้ แถมยังมีคุณต่อสุขภาพเสียด้วย เราไปดูเรื่องนี้กันที่จังหวัดสระแก้ว
จากสถิติของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว พบว่า ประชากรในชุมชนเมืองเทศบาลสระแก้วเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากผลกระทบด้านสภาวะสิ่งแวดล้อม และการดำเนินวิถีชีวิตแบบชุมชนเมือง ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอดอักเสบ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ฯลฯ ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมการกินอาหาร สูดดมสัมผัสมลภาวะจากอากาศ ขยะ และน้ำเสียจากชุมชน รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำกิน
การขยายตัวของชุมชนเมืองทำให้ปริมาณ การอุปโภคบริโภคเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดปัญหาขยะล้นเมืองจนทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม แม้เทศบาลเมืองสระแก้วจะพยายามบริหารจัดการและกำจัดขยะด้วยการสร้างเตาเผาที่มีประ สิทธิภาพ แต่ก็ไม่สามารถรองรับกับปริมาณขยะอันมหาศาลได้ทัน เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว ศูนย์ศึกษากสิกรรมธรรมชาติสระแก้ว จึงร่วมกับ เทศบาลเมืองสระแก้ว และเครือข่ายผู้สูงอายุดอกแก้ว จัดทำโครงการ “พลังงานทางเลือกเพื่อสุขภาพชุมชนเมือง จังหวัดสระแก้ว” เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนในชุมชนตระหนัก และมีส่วนร่วมในการพัฒนาและดูแลท้องถิ่นของตนเอง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีจุดเริ่มต้นจากการนำขยะไร้ค่ามาแปรเป็นวัตถุดิบเพื่อใช้พัฒนาพลังงานทางเลือกที่เหมาะสำหรับชุมชน และต่อยอดเป็นศูนย์การเรียนรู้การพึ่งพาตนเองให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
นางสาวขวัญฤดี พรหมทองดี หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า ชุมชนเมืองสระแก้วมีปัญหาไม่ต่างจากกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดหัวเมืองอื่นๆ นั่นคือ ปัญหาขยะล้นเมือง ทั้งเศษอาหาร น้ำมันเก่าจากครัวเรือน ซากพืชซากสัตว์จากตลาดสด เมื่อขยะเหล่านี้ไหลลงสู่แหล่งน้ำก็เกิดปัญหาต่อเนื่องคือ น้ำเน่าเสีย กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย และเชื้อโรคอีกสารพัดชนิด การที่เทศบาลได้พยายามกำจัดขยะและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยคัดแยกประเภทขยะก่อนนำไปรีไซเคิลและเผาทำลาย ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และแท้จริงแล้วทุกคนในชุมชนควรมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาขยะที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้น
ด้าน นายกฤษณะ ของนา เลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองสระแก้ว อธิบายว่า เทศบาลเมืองสระแก้วประกอบด้วย 18 ชุมชนย่อย เป็นลักษณะชุมชนที่ผสมผสานระหว่างชุมชนเมืองและชุมชนชนบทเข้าไว้ด้วยกัน โดยประชาชนในชุมชนชนบทจะประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้าง ในขณะที่ชุมชนเมืองประกอบอาชีพค้าขายและรับจ้าง พื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรของชุมชนจึงมีความแตกต่างกัน
“ทุกชุมชนสามารถร่วมกันออกแบบและคิด ค้นพลังงานทางเลือกได้ด้วยตนเอง โดยใช้ต้นทุนทางสังคมที่มีอยู่ในพื้นที่เป็นตัวกำหนด เช่น ชุมชนที่เป็นตลาดมีการค้าขายก็จะมีขยะจากเศษอาหารเหมาะสำหรับทำแก๊สชีวภาพ เช่นเดียวกับชุมชนเกษตรกรรมที่มีขี้หมูและขี้วัว ส่วนชุมชนที่มีป่าซึ่งจะต้องตัดแต่งกิ่งไม้อยู่เสมอ ก็สามารถนำเศษกิ่งไม้ไปเผาเป็นถ่านได้ แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างพลังงานใช้เองจะต้องไม่สร้างมลภาวะให้แก่ชุมชน หรือเกิดเป็นขยะชิ้นใหม่ที่ต้องตามกำจัดไม่จบสิ้น และเมื่อชุมชนเมืองมีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น สถิติการเจ็บป่วยก็จะลดน้อยลง คุณภาพชีวิตดีขึ้น ช่วยให้เทศบาลได้ใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาชุมชนในด้านอื่นแทนที่จะหมดไปกับการซ่อมแซมสุขภาพ” นายกฤษณะกล่าว
บ้านคลองนางชิง ตำบลท่าเกษม อำเภอ เมืองฯ จังหวัดสระแก้ว เป็นชุมชนแรกที่ยกมือสนับสนุนการสร้างพลังงานทางเลือกที่เหมาะสมกับชุมชนของตนเองทั้ง “ก๊าซชีวภาพ” หรือ “แก๊สขี้หมู” และ “ถ่าน” ที่เผาด้วยเตาสุญญากาศ หรือ “เตาอิวาเตะ” ด้วยเล็งเห็นถึงศักยภาพของพื้นที่และต้นทุนทางสังคมที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ
นายสงัด อาจตัน วัย 56 ปี สมาชิกบ้านคลองนางชิง เล่าว่า ครอบครัวทำเกษตรแบบผสมผสาน เศษผักผลไม้และเศษอาหารก็เอาไปเลี้ยงหมู ซึ่งขี้หมูจะถูกนำไปหมักเป็นปุ๋ยเพื่อรดพืชผักต่อไป แต่เมื่อรู้ว่า ขี้หมู สามารถนำไปทำพลังงานได้ก็ไม่รีรอที่จะทดลอง ด้วยเห็นว่าการพึ่งพาตนเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“ก๊าซชีวภาพหรือพลังงานขี้หมู ใครๆ ก็ทำใช้เองได้ เพียงแต่ต้องอาศัยความขยันเป็นที่ตั้ง เพราะจะต้องล้างคอกหมูทุกเช้า ใช้น้ำล้างน้อยๆ เน้นแรงกวาดมากๆ ให้น้ำขี้หมูไหลลงไปรวมกันในบ่อ แล้วจึงตักใส่ถังหมักพลาสติกขนาด 250 ลิตร ที่เชื่อมต่อกันจำนวน 4 ถัง น้ำขี้หมูจะถูกหมักในถังจนเน่าและเกิดเป็นก๊าซชีวภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้หุงต้มได้ทันที โดยก๊าซที่นำมาใช้งานจะไร้สี ไร้กลิ่น และใช้ได้นานติดต่อกัน 3 ชั่วโมง หากก๊าซเริ่มอ่อนก็ตักขี้หมูเติมลงไปในถังหมัก รอไม่นานเท่าไรก็จะมีก๊าซเกิดขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ใครอยากใช้ก็เพียงช่วยตักขี้หมูใส่ถังหมักแล้วต่อท่อเอาก๊าซไปได้เลย” นายสงัดบอก
ด้าน นายลุงสัมฤทธิ์ อาจตัน วัย 62 ปี อธิบายต่อว่า นอกจากก๊าซชีวภาพจากขี้หมูในชุมชนบ้านคลองนางชิงยังสร้างเตาเผาถ่านใช้เองด้วย โดยใช้เศษกิ่งไม้จากป่าชุมชนที่มีอยู่มากมาย “ก๊าซชีวภาพและถ่านจากเศษไม้เป็นพลังงานทางเลือกที่ใช้ทดแทนก๊าซหุงต้มในครัวเรือนได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินได้อย่างน้อยครอบครัวละ 300 บาท อีกทั้งยังช่วยลดประมาณขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ประโยชน์สูงสุดที่เกิดขึ้นคือ กระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม ทั้งการคิดและช่วยทำของทุกคนชุมชน กลายเป็นพลังแห่งการเรียนรู้ที่ทุกคนเคารพในความคิดความเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดและเป็นประโยชน์ต่อทุกคนในชุมชน จนกลายเป็นต้นแบบที่ชุมชนอื่นสามารถเรียนรู้ได้ทั้งระบบ” นางสาวขวัญฤดี หัวหน้าโครงการ กล่าวสรุป
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์