ขยายห้องเรียนสู้ฝุ่นจากภาคเหนือ-อีสานสู่ กทม. ปั้น 34 โรงเรียนต้นแบบ รับมือวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ในเมืองหลวง
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.
สสส. – กทม. สานพลังภาคีเครือข่าย ขยายห้องเรียนสู้ฝุ่น จากภาคเหนือและอีสานสู่กรุงเทพมหานคร ปั้น 34 โรงเรียนต้นแบบ เตรียมพร้อมรับมือวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ในเมืองหลวง
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2565 ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และภาคีเครือข่าย ได้แก่ กรมอนามัย กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ADPC) ศูนย์พัฒนาการสื่อสารด้านภัยพิบัติ-ThaiPBS สำนักการศึกษา และห้างหุ้นส่วนจำกัด เติมเต็มวิสาหกิจเพื่อสังคม จัดกิจกรรมเปิดตัวและอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการห้องเรียนสู้ฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” เพื่อรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยมีโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครและสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เข้าร่วม 34 โรงเรียน
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า จากความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทุกช่วงวัยทั้งในพื้นที่กรุงเทพและหลายจังหวัด โดยมีแหล่งกำเนิดและช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเพิ่มโอกาสเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก เยาวชน หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย สำหรับพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้นเป็นประจำในช่วง พ.ย. – มี.ค. ของทุกปี ซึ่ง สสส. ได้สานพลังทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
“สสส. ร่วมกับ กทม. และภาคีเครือข่าย จัดโครงการ “ห้องเรียนสู้ฝุ่น” สร้างองค์ความรู้ด้านสุขภาพในพื้นที่เสี่ยงผ่านการเรียนการสอนจากครูสู่เด็กและเยาวชน แล้วส่งต่อไปยังครอบครัว ชุมชน และสังคม มุ่งเป้าสำคัญ 3 ประการ 1.สร้างสถานศึกษาต้นแบบรับมือฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพ 2.พัฒนาระบบข้อมูล องค์ความรู้ และสื่อ ให้เป็นเครื่องมือในการขยายผลและสร้างกลไกที่เกี่ยวข้องระดับชุมชน สำนักงานเขต และสังคม 3.สานพลังหน่วยงานและภาคีเครือข่ายในพื้นที่กรุงเทพ รับมือกับภัยจากฝุ่น PM2.5 ร่วมกัน ทั้งนี้ สสส. มีแผนจัดกิจกรรมธงสุขภาพ ครอบคลุม 437 โรงเรียนในสังกัด กทม.” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพฯ ก็เหมือนกับมหานครอื่น ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการก่อสร้างถนน รถไฟฟ้า ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหาอื่น ๆ ตามมา โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทุกคน เนื่องจากฝุ่น PM2.5 สามารถแพร่กระจายได้แบบไม่มีขอบเขตพื้นที่ และอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต จึงเป็นความท้าทายของทุกหน่วยงานที่จะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบและเร่งด่วน โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สนับสนุน ระดมสรรพกำลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศให้เกิดประโยชน์สูงสุด บรรลุผลเป้าหมาย กรุงเทพมีค่าฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ภายในปี 2566 ทำให้กรุงเทพฯเป็นมหานครที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป