ก้าวข้ามผ่านอคติเรื่องป่า ชาติพันธุ์ และความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม
ข้อมูลจาก: สัมมนาวิชาการสาธารณะระดับชาติสิ่งแวดลอ้มมลพิษสุขภาพและความยุติธรรม หรือ Environmental and Health Justice FORUM
ภาพโดย พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
ในวันที่ปัญหาหมอกควันและ PM2.5 กลายเป็นวาระแห่งชาติ หนึ่งในสาเหตุที่ถูกหยิบยกมากล่าวถึงคือ “การเผา” ไม่ว่าจะเป็นการเผาเพื่อเพาะปลูก หรือการเผาป่า ซึ่งมักนำไปสู่ภาพเหมารวม ที่ว่า “คนชาติพันธุ์” เป็นผู้ทำลายป่า
แต่หากมองให้ลึกลงไป เราจะพบว่าเรื่องราว ชาติพันธุ์เผาป่าจนเกิดพีเอ็ม 2.5 อาจมีความซับซ้อนกว่าที่สังคมมองเห็น
ในเวทีแห่งการพูดคุยถึงประเด็น “สิทธิ ความเป็นธรรม ในสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ พลเมืองไทย” ในงานสัมมนาวิชาการสาธารณะระดับชาติสิ่งแวดลอ้มมลพิษสุขภาพและความยุติธรรม หรือ Environmental and Health Justice FORUM ที่จัดขึ้น อาจเป็นอีกการแสวงหาตอบที่ว่า รวมถึงการตามหา เหตุผลที่ “สิทธิและความเป็นธรรม” จึงมีความเชื่อมโยงกับเรื่องสิ่งแวดล้อม
ในส่วนย่อยของเวทีการสัมมนายังมีการนำเสนอ ประเด็น “ป่าไม้ ที่ดิน และชาติพันธุ์” ที่พยายามคลี่คลายสถานการณ์แท้จริง สู่ความเข้าใจใหม่ เพื่อความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมและ “พี่น้องชาติพันธุ์” ผู้ที่กลายเป็นจำเลยสังคมในเวลานี้
คนชาติพันธุ์: ผูกพัน เกื้อกูล และการอนุรักษ์ที่ถูกมองข้าม
ปัญหามลพิษที่กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คน ได้นำเราไปสู่คำถามสำคัญนั่นคือการมองหา “ต้นตอ” ผู้เป็นบ่อเกิดปัญหา
ในบริบทของสังคมไทย ยังคงมีภาพเหมารวมเชิงลบ คือการมีภาพจำว่า “กลุ่มชาติพันธุ์” คืออีกต้นตอหลักของปัญหานี้ สิ่งที่สังคมอาจตัดสินต่อชนกลุ่มน้อยชายขอบใกล้ป่า คือ “ผู้บุกรุก” และ “ผู้ทำลาย”
นอกจากประเด็นการเผาป่า ยังมองว่า “ไร่หมุนเวียน” คือวิธีเดียวกับการทำ “ไร่เลื่อนลอย” คือผู้ทำลายป่าและสร้างปัญหามลภาวะ แต่หากเราจะลองมองทะลุผ่านวาทกรรมที่สับสนและซับซ้อนเหล่านี้ อาจได้เห็นว่า “กลุ่มชาติพันธุ์” เป็นกลุ่มคนที่มีวิถี “อยู่ร่วมกับป่า” และมีความใกล้ชิดธรรมชาติมาอย่างยาวนานมากที่สุด และมีส่วนในการดำรงบทบาทความเป็น “ผู้พิทักษ์” ป่า ด้วยมีวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น
หากมายาคติดังกล่าว ทำให้พี่น้องชาติพันธุ์ มักตกเป็น “จำเลย” สังคม โดยไม่มีพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ลุกขึ้นมาส่งเสียงเรียกร้อง เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดดังกล่าวนี้ได้ ทำให้หลายฝ่ายต่างมองว่า หากต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องเผาป่า อาจต้องเริ่มต้นที่เรื่องของการดูแล “สิทธิ”คนชายขอบสังคมเหล่านี้ เพื่อสร้างโอกาสและการพัฒนาอย่างเท่าเทียม
ก้าวข้ามมายาคติ เรื่องไร่หมุนเวียน
ดร.จตุพร เทียรมา คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คือผู้ที่สะท้อนอีกมุมเรื่องไร่หมุนเวียน คือ มรดกทางวัฒนธรรม และเป็นวิถีเกษตรกรรมยั่งยืนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นวิถีการทำเกษตรจากภูมิปัญญาที่มีการพักฟื้นพื้นที่เป็นเวลาหลายปี ทำให้พืชพันธุ์ได้เติบโตขึ้นใหม่
ดร.จตุพรยังได้เอ่ยถึงการศึกษาวิจัยมีการนำเครื่องมือวัด PM2.5 ไปตั้งในหมู่บ้านกะเหรี่ยง บ้านแม่ส้าน อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พบว่าระดับ PM2.5 ในหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงไร่หมุนเวียนนั้นมีค่าต่ำกว่าในเมือง
“ปีหนึ่งไทยปล่อยพีเอ็ม 2.5 สองแสนตันต่อปี ซึ่งมีระบุว่าเกิดจากการเผาในที่โล่งและการเผาจากพื้นที่เกษตรกรรมมากที่สุด แต่เมื่อเราศึกษาวิจัยในเรื่องการวัดค่าตามช่วงเวลา ถ้าสังเกตดีๆ พีเอ็ม 2.5 จะเริ่มมีตั้งแต่สิ้นสุดฤดูฝนเป็นต้นไป แสดงว่าศัตรูตัวร้ายของพีเอ็ม 2.5 คือฝน และยิ่งใกล้ฤดูก่อนฝน พีเอ็ม 2.5 ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เอาจริง พอจะเริ่มฤดูกาลเผาก็มีพีเอ็ม 2.5 อยู่แล้ว หรือถูกปล่อยออกมาอยู่แล้วระดับหนึ่ง” ดร.จตุพรตั้งข้อสังเกต
อีกข้อควรพิจารณาคือ ในเขตเมือง เมื่อเกิดพีเอ็ม 2.5 พอเจอฝนจะหาย แต่ก็จะกลับมาใหม่อย่างรวดเร็ว “อยากให้ลองศึกษาเขตเมือง ในการเกิดพีเอ็ม 2.5 แต่ละครั้งด้วยบ้างเพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน นอกจากเขตพื้นที่เกษตรกรรมแล้ว”
สำหรับระบบเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นวิถีเกษตรของชาวชาติพันธุ์ ดร.จตุพรให้มุมมองว่า แท้จริงเป็นแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืนอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการเกษตรที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีวิถีการเกษตรที่มีแนวคิดเรื่อง “การพักฟื้นของป่า” ซึ่งปกติในพื้นที่ทำการเกษตรไร่หมุนเวียน เกษตรกรจะมีการทำการพักฟื้นพื้นที่แต่ละแห่งเป็นระยะเวลา 1 ถึง 4 ปี เพื่อรอต้นไม้มีการเติบโต ซึ่งเป็นที่ทราบดีกว่าต้นไม้มีความสามารถในการดูดซับฝุ่นได้ในปริมาณมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พักฟื้น 3 ปีขึ้นไป พบว่าสามารถเก็บฝุ่นได้เกือบ 150 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ บางพืชพรรณในพื้นที่ไร่หมุนเวียนมี ความสามารถในการดักจับหรือดูดซับฝุ่น PM2.5 ได้”
ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกับป่าและการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างสมดุล ไม่ใช่ผู้ทำลาย แต่กลับเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลป่าด้วยภุมิปัญญาระดับชุมชน
“ร่างฯ กฎหมายชาติพันธุ์” ทางออกลดเผาป่า ที่เริ่มด้วยเรื่อง “สิทธิ”
กลุ่มชาติพันธุ์ คือประชากรชนกลุ่มน้อยที่ตั้งรกรากกว่า 6 ล้านคนในไทย มากกว่า 4 พันชุมชน ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ใช้ชีวิตในอาณาเขตประเทศไทยมายาวนาน ทว่ากลับขาดซึ่ง “สิทธิ” ในการเป็นพลเมือง การเกิดอคติและความเข้าใจผิดที่ฝังรากลึกจากสังคม กลายเป็นอุปสรรค หลายฝ่ายมองเห็นว่า ทางออกที่จะเปลี่ยนเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นธรรมในเรื่องนี้ได้ จำเป็นต้องเริ่มต้นที่การสร้างความเท่าเทียม ด้วยการมอบสิทธิและกฎหมายที่เป็นธรรมในฐานะประชากรคนหนึ่งของประเทศชาติ รวมถึงบทบาทและสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในการดูแลสิ่งแวดล้อม เพราะเขาคือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับป่ามายาวนาน
ผศ.ดร.วรวิทย์ นพแก้ว คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …… และตัวแทนจากกลุ่ม P Move กล่าวว่า ที่ผ่านมากฎหมายป่าอนุรักษ์มีบทบัญญัติบางประการที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมีการให้เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ตาม พรบ.นี้ เป็นไปเพื่อสงวน อนุรักษ์ คุ้มครองและบำรุงรักษาทรัพยากร ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ
เขามีความเห็นว่า “กฎหมายป่าอนุรักษ์คุ้มครองป่า แต่ไม่คุ้มครองคน” ด้วยเป็นการจำกัดสิทธิคน ไม่ว่าจะเป็น สิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่ต้องได้รับการคุ้มครอง สิทธิทางธรรมชาติ สิทธิชุมชน การดำรงชีพและการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ควรได้รับการคุ้มครองตลอดจนการเข้าถึงทรัพยากรตามจารีตประเพณี ด้วยความรู้ภูมิปัญญา แต่ปัจจุบันกลไกกฎหมายกลับส่งเสริมให้เกิด “การขยายตัวของรัฐและเอกชน จนลดทอนสิทธิของชาติพันธุ์ อันเป็นสิทธิชุมชนอันพึงมี”
ผศ.ดร.วรวิทย์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา มีความพยายามผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ หรือที่เรียกว่า ร่างกฎหมายชาติพันธุ์ มานานนับตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน หากในกระบวนการพิจารณา ร่างกฎหมายชาติพันธุ์ ในสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา ต้องติดกับดัก คำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” ที่ได้กลายเป็นประเด็นปัญหาใหญ่และถูกคัดค้านมาโดยตลอด
“มีการมองว่าเป็นการให้อภิสิทธิ์คนชาติพันธุ์ โดยสภามีมติให้ถอดร่างออกไปก่อน ในการพิจารณาวาระแรก ในการประชุมสภาพผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 26 ต่อมา ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ยังคงยืนยันปัดตกคำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” ในการพิจารณาวาระที่ 2 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 ยังคงเป็นที่ถกเถียงอย่างหนัก มี โดย ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล มีการคัดค้านมาตราว่าด้วยพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จนทำให้ต้องเลื่อนการพิจารณาออกไปอีกครั้ง”
ตีความชัด แยกกรอบ “ผู้บุกเบิก” หรือ “ผู้บุกรุก”
แม้ “สิทธิ” หรือ“กฎหมาย” เป็นกลไกที่มีไว้เพื่อธำรงความยุติธรรม แต่บางแง่มุมกฎหมายดังกล่าวอาจกลายเป็นดาบสองคม หากมุ่งหมายแต่การพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเพียงถ่ายเดียว ก็อาจคุกคามสิทธิชุมชนและก่อให้เกิดความ “ไม่เป็นธรรมของสังคม” โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ กรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า กฎหมายบางฉบับในอดีตได้สร้าง ความกดทับ โดยมองผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ป่ามานานว่าเป็นผู้บุกรุก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการรับรองสิทธิของพวกเขา อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่ากฎหมายในยุคหลัง ๆ รวมถึงร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ปัจจุบัน เริ่มมี สัญญาณยอมรับการเปลี่ยนผ่าน หรือยอมรับในความเป็นพลเมืองไทยในกลุ่มชาติพันธุ์ที่เปิดกว้างมากขึ้น
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย อาจารย์ชาญเชาวน์ ยังนำเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการใช้กฎหมายว่า
“เราต้องไม่ติดกับดักเกมกฎหมายที่ตีความตามลายลักษณ์อักษรที่เขียนไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ระบุเรื่องการเป็นผู้บุกเบิก เราต้องมองในความเป็นจริงไม่ใช่ตามลายลักษณ์อักษร ให้มองไปข้างหน้าว่าความเป็นชาติพันธุ์ของเราจะไปทางไหน”
ชาญเชาวน์ยังเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการใช้กฎหมาย โดยสะท้อนให้เห็นว่าความผูกพันทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณกับป่า ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้บุกเบิก” ที่ดูแลรักษาป่ามาอย่างยาวนาน ไม่ใช่ “ผู้บุกรุก” ตามที่มักถูกตีตราจากกรอบคิดเดิม ๆ หรือข้อกฎหมายบางฉบับ จึงควรที่จะต้องมุ่งเน้นการ แยกผู้บุกเบิกออกจากผู้บุกรุกให้ชัดเจนด้วยข้อมูล
“เป็นโอกาสสำคัญที่เราจะต้องฉวยโอกาสนี้ เพื่อใช้ประโยชน์จากกฎหมาย ด้วยการตีความกฎหมายตามความเป็นจริงและมองไปข้างหน้า ไม่ยึดติดกับการตีความตามตัวอักษรเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือการสื่อสารให้สังคมและผู้กำหนดนโยบายเข้าใจว่า “สิทธิ” ของกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้หมายถึงเพียงโฉนดที่ดิน แต่ยังรวมถึง สิทธิทางวัฒนธรรม ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนและสมดุล รวมถึงสิทธิในการจัดการที่ดินร่วมกับรัฐ”
เปิดพื้นที่สื่อ เพื่อสื่อสาร “ความเป็นชาติพันธุ์”
ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเรื่องสิทธิและความเป็นธรรม การเปิดพื้นที่ให้พี่น้องชาติพันธุ์มีพื้นที่ในการสื่อสารเรื่องราวของตนเอง เพื่อให้สังคมมองเห็นว่า พวกเขามีศักยภาพ ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มเปราะบาง และยังเป็น ผู้พิทักษ์ป่า ซึ่ง “สื่อมวลชน” เป็นอีกหนึ่งกลไกที่มีบทบาทสำคัญ
ทัศนีย์ ประกอบบุญ ผู้ผลิตผลงาน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทนวัตกรรมสื่อ ปลอดภัยและสร้างสรรค์ Creative Media & TMF Awards 2025_The Active ไทยพีบีเอส กล่าวว่าสื่อมวลชนมีหน้าที่ในการสื่อสาร ให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนรอบด้าน ไทยพีบีเอสได้เกาะติดประเด็นนี้ตั้งแต่ก่อนมีการร่างกฎหมายปี พ.ศ. 2554 โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนรับฟังความคิดเห็น
ทัศนีย์เผยว่าที่ผ่านมา สื่อสาธารณะอย่างไทยพีบีเอสพยายามสะท้อนจุดยืนในฐานะสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ลบล้างอคติ และเปิดพื้นที่ให้สังคมได้ทำความเข้าใจวิถีชีวิตและภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์
ทางสถานีเริ่มจากการนำเสนอเรื่องราวของชาติพันธุ์ต่อสังคม เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าทำไมต้องมีการคุ้มครองชาติพันธุ์ และเพื่อให้รู้จักตัวตนพี่น้องชาติพันธุ์แท้จริง
“ประเด็นสำคัญที่เราให้ความสำคัญอย่างมากคือเรื่องอคติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่สังคมยังมีความเข้าใจเชิงลบ การที่ชาติพันธุ์ถูกมองแบบเหมารวมในเชิงลบ อาทิ เรื่องยาเสพติด ซึ่งแท้จริงมีที่มาที่ไป ว่าเกิดจากนโยบายส่งเสริมการปลูกฝิ่น การทำไร่หมุนเวียนที่เปลี่ยนมุมมองเป็นไร่เลื่อนลอย หรือการเป็นคนที่เผาป่า และเรายังชวนผู้คนมาสำรวจตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริง ๆ เราเองก็เป็นชาติพันธุ์ด้วยไหม เพราะประวัติศาสตร์นโยบายรัฐกับกลุ่มชาติพันธุ์ หลายนโยบายและสิทธิ ส่งผลกระทบสร้างความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต หรือคุณภาพชีวิตของชาติพันธุ์”
อย่างไรก็ดี แม้จะมีการนำเสนออย่างต่อเนื่อง แต่ความเข้าใจที่เกิดขึ้นยังเป็นเพียงความเห็นอกเห็นใจ มองชาติพันธุ์เป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือ มากกว่าการยอมรับในสิทธิและความเท่าเทียม
เธอกล่าวว่ายังมีความท้าทายในการ รักษาความสนใจของสาธารณะและฝ่ายการเมือง ให้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีประเด็นระดับชาติอื่น ๆ ที่ดึงความสนใจไป และการขาด ฐานข้อมูลพื้นฐานเชิงลึกในระดับชุมชน ก็เป็นอุปสรรคต่อการนำเสนอภาพปัญหาและผลักดันนโยบายที่ครอบคลุม
“เรามุ่งการ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ต่อสังคม ให้ข้อมูลที่แท้จริง รอบด้าน และพยายาม แก้ไขอคติและภาพเหมารวมเชิงลบ ที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ด้วยการนำเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริงผ่านหลากหลายแพลตฟอร์มและรูปแบบการสื่อสาร ทั้งข่าว สารคดี การนำเสนอภาพปัญหา ข้อมูลเชิงลึก (Data Journalism) และการติดตามนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง”
นอกจากนี้ เพื่อให้เข้าถึงผู้คนในวงกว้าง ทางไทยพีบีเอสยังเปิดพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีการสร้างแพลตฟอร์มกลางเพื่อเป็น ฐานข้อมูลพื้นฐานเชิงลึกในระดับชุมชน เพราะเห็นว่าภาคนโยบายจำเป็นต้องรับฟังข้อมูลเชิงลึกจากชุมชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและปรับแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและหลักการสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดี ความท้าทายและแนวทางการทำงานที่เกิดขึ้นคือ แม้สังคมจะเริ่มมีความเข้าใจกลุ่มชาติพันธ์มากขึ้น อย่างไรก็ดีอุปสรรคสำคัญในการสื่อสาร คือ อคติและภาพเหมารวมเชิงลบที่ยังคงอยู่ “เรามองว่าแม้จะมีความยาก แต่เราต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าการนําเสนอ ซ้ำ ๆ และต่อเนื่องจะทำให้กลุ่มคนหมู่ได้รับข้อมูลมากขึ้น และนำไปสู่การเกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ ที่สำคัญที่สุด คือการที่ พี่น้องชาติพันธุ์เองต้องมีพื้นที่ในการสื่อสารเรื่องราวของตนเอง นำเสนอศักยภาพ ทุนทางวัฒนธรรม และการปรับตัวที่เท่าทันโลกปัจจุบัน เพื่อให้สังคมมองเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มเปราะบาง แต่เป็น ผู้พิทักษ์ป่า ผู้บุกเบิก และเป็นส่วนสำคัญของสังคมไทย ที่สามารถนำพาการอนุรักษ์ป่าและความยั่งยืนไปข้างหน้าร่วมกันได้”
การข้ามผ่านอคติและความเข้าใจผิดที่ฝังรากลึกในสังคม ไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องและยอมรับในสิทธิและวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงมีกรอบความคิดและกฎหมายสอดคล้องกับความเป็นธรรมอย่างเหมาะสม อาจเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ทางออกของทุกปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สิทธิ ความเป็นธรรม หรือสิ่งแวดล้อม