‘กุ๊กไก่-กระจิบ’ แท็คทีมปลดล็อกเชื้อดื้อยา
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
แฟ้มภาพ
เช้า เช้า อากาศ แจ่มใส แต่ว่า กุ๊กไก่ หนาว หนาว ร้อน ร้อน
เอ๊ะ…ทำอย่างไร กันดี อ๋อ… ป้าหมอหมี ช่วยได้ แน่นอน
เรื่องราวน่ารักของ "กุ๊กไก่" และ "กระจิบ" หนังสือนิทานภาพสำหรับเด็ก ถือเป็นเครื่องมือสื่อความเข้าใจเรื่องยากๆ ให้ง่ายขึ้น ทั้งในส่วนของพ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู ที่ช่วยให้ตระหนักถึงการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องเหมาะสม หรือแม้แต่เด็กๆ ก็จะรู้จักดูแลสุขอนามัยและสุขภาพของตัวเอง
นี่คือความพยายามของผู้ใหญ่ ทั้งหลายเพื่อจะติดอาวุธความรู้เรื่อง สุขภาวะเบื้องต้นให้กับเด็กๆ โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)ร่วมกับ ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา(กพย.) แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ร่วมกันจัดงาน "ปลดล็อกวิกฤตเชื้อดื้อยา ด้วยรากฐานการอ่านใน เด็กปฐมวัย" พร้อมแถลงผลการศึกษา การใช้หนังสือในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เรื่อง "กุ๊กไก่เป็นหวัด" และ "กระจิบท้องเสีย" โดยหวังที่จะใช้หนังสือ และสื่ออ่านในการสร้างเสริมสุขภาพ ด้านการใช้ยาอย่างเหมาะสม
ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. เอ่ยถึง จุดเริ่มต้นว่า เนื่องจากคนส่วนใหญ่ ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการกินยา บวกกับมีความเชื่อที่ว่า เมื่อมีอาการไอ เป็นหวัด หรือเป็นแผลเล็กน้อย ก็รีบทานยาปฏิชีวนะเข้าไป ทั้งๆ ที่แค่การพักผ่อน ให้เพียงพอก็ทำให้อาการดีขึ้นได้เมื่อกินมากเข้าก็ทำให้เกิดอาการดื้อยา พอป่วยกินยาอะไรก็ไม่หาย จนเสียชีวิตในที่สุด
จากความเชื่อผิดๆ ดังกล่าว จึงส่งผลให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา ซึ่งทางรัฐบาลได้เห็นชอบและจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อ ขับเคลื่อนมาตรการตามแนวทางประชารัฐ โดยตั้งเป้าลดจำนวนผู้ป่วยให้ได้ถึง 50% ในปี 2564
สำหรับ สสส.ได้เข้ามาขับเคลื่อน โดยร่วมมือกับหลายภาคส่วน และเลือก ให้เด็กเป็นผู้เรียนรู้และถ่ายทอดผ่าน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกว่า 700 แห่ง
"การมีสุขภาวะที่ดีหรือสุขภาพที่ดี ควรปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ จึงอยากให้ทุกคนร่วมมือกันขับเคลื่อนกระบวนการครั้งนี้ ผ่านการสร้างสื่อหนังสือ เพื่อให้เด็กเข้าใจง่ายขึ้นเกี่ยวกับปัญหาและวิธีการป้องกัน และสร้างแรงกระตุ้นให้เด็กสนใจและนำไป ปฏิบัติได้จริง อีกทั้งยังลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้"ทพ.ศิริเกียรติ กล่าวผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสริมว่า ทาง กพย.ใช้ยุทธศาสตร์ที่ ประกอบไปด้วย 1.การเฝ้าระวัง ยาได้ถูก แพร่กระจายไปถึงส่วนไหนบ้าง 2.การควบคุม การกระจาย ต้องมีการควบคุมในการซื้อไม่สามารถซื้อเองได้ 3.ในสถานพยาบาลแพทย์ต้องมีเหตุผลในการจ่ายยา มีการติดตามผล มีการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาใน โรงพยาบาล 4.การเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากประชาชนเห็นสัตว์ป่วยก็ให้ยา ชนิดเดียวกับที่รักษาคน เริ่มมีเกษตรกร บางส่วนเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะในการฉีดพ่นผักแทนยาฆ่าแมลง ซึ่งส่งผลเสียแก่สุขภาพ ผู้บริโภคและเป็นความเข้าใจแบบผิดๆ เพราะขาดความรู้ในการใช้ยาประเภทนี้
สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านสสส. กล่าวว่า สสส.ได้ให้ทุนสนับสนุน กพย.เพราะ ค้นพบว่า วิกฤตเชื้อดื้อยาในประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้นมาก และน่าเป็นห่วงซึ่งเป็นอาการที่รักษาไม่หาย สสส.เชื่อว่า หนังสือสามารถบ่มเพราะพฤติกรรมทางด้านสุขภาพให้กับเด็กได้ โดยหนังสือที่ สสส. ได้ออกมาร่วมรณรงค์ครั้งนี้เราได้ส่งไปที่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เข้าใจในการใช้ หนังสือเด็ก
"เราใช้เวลาในการตามผลเพียงแค่ 2-3 เดือน ซึ่งเก็บข้อมูลมาจำนวน 700 กว่าแห่ง พบว่าเด็กเรียนรู้เรื่องของการใช้ยา ได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเด็กมีอาการเป็นหวัดน้ำมูกไหลก็สูดลงลำคอไป ก็เปลี่ยนเป็นว่าเด็กเอาทิชชูมาสั่งน้ำมูกแล้วนำไปทิ้งถังขยะ เวลาไอจามเด็กก็มีการบอกเพื่อนว่าให้ปิดปากทุกครั้ง หรือสิ่งที่เด็กๆ กลัวเลยก็คือไม่อยากท้องเสีย ก็จะชวนกันล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารหรือทำกิจกรรมต่างๆ และส่วนสำคัญของหนังสือเลยคือการบ่มเพราะความเป็นมนุษย์ มีวินัยรักสุขภาพดูแลทั้งตัวและคนรอบข้าง ส่วนผลพลอยได้คือรักการอ่านมากขึ้น" สุดใจ กล่าว
เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป หรือ อ.ตุ๊บปอง เล่าถึงกระบวนการจัดทำหนังสือว่า ตนมีชุดหนังสือไปหาหมอกับแม่อยู่แล้ว อีกทั้งมีป้าหมอหมีที่เด็กๆ รู้จักจากหนังสือชุดกุ๊กไก่ปวดท้อง รวมถึงมีชุดข้อมูลเรื่องเชื้อดื้อยาอยู่แล้ว จึงนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือกลอน 6 และกลอน 8 จุดสำคัญคือต้องสื่อสาร ทีละเรื่องอย่าทำให้เด็กสับสน เพราะ เมื่อเด็กมีความสุขในการอ่านร่างกายจะ หลั่งสารแห่งความสุขออกมา หลังจากนั้น เด็กจะเกิดการจดจำได้อย่างน่ามหัศจรรย์ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะสร้างลักษณะนิสัยในทางที่ดีหรือสร้าง องค์ความรู้ให้กับเด็กโดยผ่านสื่อกลาง ที่เรียกว่าหนังสือได้
ทางฝั่งผู้ปกครองอย่าง ขณิษฐา วงค์คำจันทร์ เล่าถึงผลลัพธ์หลังจากที่ลูกสาวอ่านหนังสือดังกล่าว ก็กลับบ้านมาบอกตนว่า หากไม่สบายต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง และต้องล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารเพื่อรักษาความสะอาด ตนคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มาก ทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลดหนังสือ กระจิบท้องเสีย และกุ๊กไก่เป็นหวัดได้ที่ www.thaidrugwatch.org และ www.happyreading.in.th