กิน อยู่ (ให้เป็น) คือ (ไม่เสี่ยง)

กิจกรรมย่อยช่วงบ่าย ‘กินอยู่ให้เป็น เย็นใจ ในสังคมความเสี่ยง’ เริ่มต้นด้วยเวทีนำเสนอ ‘นวัตกรรมรับมือโลกร้อนและปัญหามลพิษ’

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวถึงนวัตกรรมการเข้าถึงข้อมูล โดยหยิบยกเรื่องการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเผยแพร่ข้อมูลการปล่อยมลพิษต่อสาธารณะโดยที่ชาวบ้านไม่ต้องร้องขอ

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมูลนิธินโยบายสุขภาวะ กล่าวถึง ‘นวัตกรรมพลังงานชุมชนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก’ ว่า เรื่องโลกร้อนนั้นเกี่ยวข้องกับภาคพลังงานด้วย จึงจำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ โดยเน้นพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตได้ในชุมชนและตอบสนองความต้องการในชุมชน ขณะนี้ จ.กาญจนบุรี และ จ.สระแก้วมีการทดลองแผนพลังงานหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบ หากทำได้ภายใน 7-8 ปีนี้ จะช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มการสร้างงานและเกิดเงินหมุนเวียนนับหมื่นล้านบาท

ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลถึงนวัตกรรมเพื่อร่วมสร้างชุมชนคาร์บอนต่ำว่า กติกาโลกในการลดก๊าซเรือนกระจกนั้นไม่อาจหวังพึ่งได้มากนัก ประเทศไทยแม้จะอยู่ในกลุ่มประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 1% แต่เมื่อรวมกลุ่มประเทศเหล่านี้จำนวน 164 ประเทศก็พบว่ามีจำนวนถึง 24% ของทั้งโลก ที่ผ่านมา สสส.และภาคีเครือข่ายมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่สำคัญ อาทิ โครงการธนาคารต้นไม้ที่ขยายไปกว่า 400 สาขา โครงการกินเปลี่ยนโลก และโครงการปั่นจักรยานเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ในแบตเตอรี่ ชาร์จโทรศัพท์ ฯลฯ

นางสาววราทิพย์ วีรกิจ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน กล่าวถึง ‘นวัตกรรมศูนย์พยากรณ์อากาศชุมชนรับมือโลกร้อนเพื่อการเกษตร รู้ก่อน แก้ไขได้’ ว่า นวัตกรรมล่าสุด คือศูนย์ภูมิอากาศชุมชนซึ่งจะช่วยพยากรณ์อากาศได้อย่างแม่นยำในพื้นที่ยโสธร จากความร่วมมือของ 200 ครัวเรือนใน 5 อำเภอ เพื่อให้คนในพื้นที่นำข้อมูลด้านอากาศไปใช้วางแผนการผลิตทางการเกษตรกร โดยความแม่นยำของข้อมูลสามารถตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดร่วมกันได้ ส่วนผลการพยากรณ์จะส่งทาง sms ตรงถึงสมาชิกและวิทยุชุมชน

เวทีต่อมาว่ากันด้วยการจัดการปัญหาน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ นายบรรยงค์ เกียรติก้องชูชัย นายกเทศมนตรีเมืองชัยภูมิ กล่าวว่า เนื่องจากการบริโภคน้ำมันทอดซ้ำสร้างความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและความดันโลหิตสูง ที่ผ่านมากองสาธารณสุขจึงลงพื้นที่ให้ข้อมูลและรับซื้อน้ำมันเก่าตามตลาดสด ด้วยความคิดว่าเงินท้องถิ่นที่ลงไปนั้นคุ้มค่ากว่าการรักษาประชาชนที่ต้องเจ็บป่วยจากการบริโภค

วิชัย วงศ์สว่างรัศมี ตัวแทนจากโรงพยาบาลอุ้มผาง กล่าวว่า เริ่มผลิตน้ำมันไบโอดีเซลใช้เองตั้งแต่ปี 2554 ผลิตได้เดือนละ 800-1,200 ลิตร ซึ่งคำนวณแล้วประหยัดเงินได้ราว 3 แสนกว่าบาท นอกจากนี้ยังเสนอการจัดโซนนิ่งประเทศ แบ่งเขตความรับผิดชอบจัดเก็บน้ำมันเก่า และจัดศูนย์การเรียนรู้เพื่อผลิตไบโอดีเซลภายในแต่ละโซน

ปิดท้ายด้วยเวทีพลังชุมชนจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย ณัฐพร แสงโพธิ์ ประธานชมรมกลุ่มสตรีพัฒนาฟื้นฟูวัฒนธรรม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า การรวมกลุ่มชาวบ้านมาจากประเด็นร้อนที่ชาวบ้านต่อสู้กับโรงงานอุตสาหกรรม จากนั้นก็เริ่มขยับรณรงค์ให้ข้อมูลกับชาวบ้านเรื่องการใช้ยาและการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย อันตรายของยาลดน้ำหนัก ยากินแล้วขาว ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี

นางตั้น ศรีหลง ตัวแทนกลุ่มชมรม อสม.สามเหลี่ยม เทศบาลนครขอนแก่น กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ชุมชนประสบปัญหาการบริโภคยาจากที่เห็นในโฆษณา ต่อมาหันมานิยมกินยาน้ำหมักชีวภาพ ซึ่งทำให้ชาวบ้านเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นจำนวนมาก จึงเชิญเครือข่ายผู้บริโภคมาให้ความรู้ ใช้วิธีบอกกันปากต่อปาก

 

 

ที่มา : จดหมายข่าว “มหามวลมิตร” เวทีครบรอบ สสส. 12 ปี ฉบับที่ 1

Shares:
QR Code :
QR Code