‘กินผักผลไม้ปลอดภัย’ นโยบายที่สร้างกระแสใหม่ปีนี้

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 


'กินผักผลไม้ปลอดภัย' นโยบายที่สร้างกระแสใหม่ปีนี้ thaihealth


แฟ้มภาพ


วิถีชีวิตและพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่เปลี่ยนไป กินผักและผลไม้น้อยลง ทำให้คนไทยเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นเลือดสมองตีบ มะเร็ง ฯลฯ องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดให้มีการบริโภคผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม ถือเป็นปริมาณที่ลดความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้ได้ การสร้างกระแสค่านิยมใหม่ในสังคมเป็นสิ่งสำคัญ


'กินผักผลไม้ปลอดภัย' นโยบายที่สร้างกระแสใหม่ปีนี้ thaihealth


เช่นเดียวกับงานประชุมวิชาการกินผักผลไม้ปลอดภัย 400 กรัม เพื่อสุขภาพ จัดโดยสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้นำเสนอความรู้ทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับผักและผลไม้ ทั้งการผลิต ความปลอดภัย คุณค่าทางโภชนาการ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการบริโภคผักผลไม้ เพื่อเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อให้บริโภคผักผลไม้อย่างพอเพียง


ในปี 2560 กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็น "ปีแห่งการบริโภคผักและผลไม้ปลอดภัย" และผลักดันนโยบาย 6 เรื่อง คือ 1.ให้ทุกโรงพยาบาลซื้อผักและผลไม้ปลอดภัยจากสารเคมี 2.  การจัดการผักผลไม้ให้ปลอดภัยตลอดห่วงโซ่ 3.ดำเนินการตามแผนการเฝ้าระวังผักผลไม้ตลอด  ห่วงโซ่ปี 2560 4.พัฒนาขีดความสามารถทาง ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์สารเคมีป้องกันศัตรูพืช 5.โครงการวิจัยและพัฒนา 6.เผยแพร่วิธีลด  การตกค้างของสารเคมี ป้องกันกำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้สู่ประชาชน โดยดำเนินงานแบบบูรณาการร่วมกับ สสส.ในการเชื่อมประสานเครือข่ายผู้ผลิต และสื่อสารองค์ความรู้ให้ผู้บริโภค และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในเรื่องควบคุมและลดปริมาณการใช้สารเคมี เพื่อให้ประชาชนบริโภคผักและผลไม้อย่างปลอดภัยได้ตามเกณฑ์กำหนดในแต่ละวัน


'กินผักผลไม้ปลอดภัย' นโยบายที่สร้างกระแสใหม่ปีนี้ thaihealth


ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. อธิบายถึงการขับเคลื่อนสนับสนุนการเพิ่มอัตราการบริโภคผักและผลไม้อย่างพอเพียงว่า จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 4-5 ในปี 2556-2557 พบว่าประชาชนไทยบริโภคผักผลไม้อย่างพอเพียงมีแค่ 25.9% เท่านั้น ในการเพิ่มอัตราการบริโภคผักและผลไม้ สสส. ได้ส่งเสริม จุดประกาย พัฒนาต้นแบบสื่อสารรณรงค์ใน 3 ด้าน คือ 1.พัฒนาองค์ความรู้ 2.วิเคราะห์ภาคีและสนับสนุนโครงการยุทธศาสตร์เพื่อการขับเคลื่อน 3.ร่วมผลักดันนโยบายและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อความยั่งยืน โดยร่วมกับภาคีเครือข่าย "พัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมการบริโภคผักผลไม้ปลอดภัย"


โดยมีพื้นที่ต้นแบบ ประกอบด้วย 1.เมืองเกษตรสีเขียวและอาหารปลอดภัย จ.เชียงราย 2.เครือข่ายความมั่นคงทางอาหารชาติพันธุ์ 3.พื้นที่ต้นแบบความมั่นคงทางอาหาร จ.อุบลราชธานี 4.สามพรานโมเดล ระบบห่วงโซ่อุปทานที่เป็นธรรม 5.จันทบุรีโมเดล เกษตรอินทรีย์วิถีคนจันท์ 6.สงขลาโมเดล พื้นที่ต้นแบบแหล่งให้บริการอาหารเพื่อสุขภาพ "โครงการเด็กไทยแก้มใส" มีโรงเรียนนำร่องกว่า 544 แห่ง ที่น้อมนำแนวทางการดำเนินงานและเจริญรอยตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สร้างคุณภาพและทักษะชีวิตให้เด็กไทยมีสุขภาพแข็งแรง "ส่งเสริมการปลูกผักผลไม้เพื่อกินเอง" เช่น โครงการสวนผักคนเมือง ส่งเสริมการปลูกผักในครัวเรือน สวนผักในองค์กร มีการให้ความรู้ผู้บริโภคที่เข้าถึงได้ง่าย และเกิดเป็นกระแสค่านิยมใหม่ในสังคม


'กินผักผลไม้ปลอดภัย' นโยบายที่สร้างกระแสใหม่ปีนี้ thaihealth


"การขับเคลื่อนการเพิ่มอัตราการบริโภคผักและผลไม้ที่ สสส.ร่วมกับภาคีเครือข่ายนั้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ เช่น ยุทธศาสตร์รัฐบาล 20 ปี ยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมา สสส.รณรงค์ให้ประชาชนบริโภคผักและผลไม้วันละ 400 กรัม และจัดทำอินโฟกราฟฟิกและคลิปวิดีโอวิธีล้างผักช่วยลดสารตกค้างจากยาฆ่าแมลง เพื่อสื่อสารและสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเห็นความสำคัญและบริโภคผักผลไม้โดยปลอดภัย" ดร.นพ.ไพโรจน์กล่าว


'กินผักผลไม้ปลอดภัย' นโยบายที่สร้างกระแสใหม่ปีนี้ thaihealth


แม้ว่าผักผลไม้ในประเทศไทยจะมีหลากหลายชนิด แต่ประชาชนก็ยังคงกินผักผลไม้ที่ไม่หลากหลาย รศ.ดร.นิภา โรจน์รุ่งวศินกุลสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายผลสำรวจผักผลไม้ที่นิยมบริโภคในคนไทยว่า จากการศึกษาการบริโภคอาหารของประเทศไทยในปี พ.ศ.2557-2558 ดำเนินการโดยสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยการสุ่มจังหวัด 4 จังหวัดจากแต่ละภาค รวมถึงกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น 17 จังหวัด ทุกกลุ่มอายุ จำนวน 8,478 คน พบว่าผักที่นิยมเป็นอันดับแรกในทุกกลุ่มอายุ โดยไม่นับผักประเภทปรุงรสและแต่งกลิ่น คือ ผักกาดขาว/เขียว ถั่วฝักยาว แตงกวา กะหล่ำปลี และฟักทอง สำหรับผลไม้ที่นิยมในกลุ่มอายุ 15-59 ปี คือ แตงโม กล้วยน้ำว้า มะม่วงดิบ ฝรั่ง และสับปะรด ขณะที่กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป นิยมกล้วยน้ำว้า แตงโม มะละกอสุก มะม่วงสุก และสับปะรด ผลสำรวจข้างต้นนี้ พบว่าคนไทยยังกินผักผลไม้ที่ไม่หลากหลาย ร่างกายเราจะได้รับประโยชน์จากผักผลไม้อย่างสูงสุดต่อเมื่อบริโภคผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม โดยบริโภคผักหลากสีและผลไม้ที่หลากหลายก็จะได้สารอาหาร สารพฤกษเคมีอย่างครบถ้วน


การบริโภคผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม ควรกินผักผลไม้ปลอดภัย ตามฤดูกาล หลากสีและหลากหลายชนิด ทำให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์หรือใยอาหารที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายขับของเสียออกจากร่างกายอย่างง่ายดาย และทำให้เราห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

Shares:
QR Code :
QR Code