‘กินดี’ เตรียมตัวสูงวัยมีคุณภาพ
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพโดย สสส.
เริ่มใส่ใจเรื่องอาหารและเปลี่ยนพฤติกรรมการกินตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเตรียมตัวรับการความสูงวัยแบบที่คุณเริ่มได้ เชื่อไหมว่า…คำที่ได้ยินบ่อย ๆ ในข่าวตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา คือคำว่า 'สังคมผู้สูงอายุ' และนั่นก็ตามมาด้วยเนื้อหาข้อมูลว่าด้วยการเตรียมตัวของสังคมไทยเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว
สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) หมายถึงการมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 โดยมีประชากรผู้สูงอายุมากกว่าเด็ก และคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด และข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ได้คาดการณ์ตัวเลขของประชากร ในปี 2573 ว่า ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 26.3 และในปี 2583 จะมีจำนวนผู้สูงวัยถึงร้อยละ 32.1
รู้อยู่แล้วว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่ตัวเราเองจะต้องเตรียมความพร้อมรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นแบบส่วนบุคคลอย่างไร?
สง่า ดามาพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และอีกบทบาทหนึ่งคือนักโภชนาการ กล่าวว่า การจะเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้สูงอายุต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ ให้ดีคือตั้งแต่อายุเริ่มแตะเลข 4 (40 ปี)
"ผมเองในอดีตก็รับประทานทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปอายุเริ่มมากขึ้น ทำให้เริ่มตระหนักว่าการจะเป็นผู้สูงอายุที่มีร่างกายแข็งแรงได้นั้นต้องเริ่มจากเตรียมความพร้อมให้ตัวเองตั้งแต่อายุ 40-50 ปี ไม่ใช่มาเริ่มเมื่อมีอายุ 60 ปี หรือในวัยเกษียณ เพราะช้าเกินไป"
เราจึงต้องเตรียมตัว 'กินก่อนแก่' ซึ่งในที่นี้หมายถึงการดูแลสุขภาพตัวเอง กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ สะอาดและปลอดภัย เพื่อทำให้เซลล์ตายช้าลง ให้ร่างกายมีความพร้อมก่อนการเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ตามตำรา คำว่า "ผู้สูงอายุ" คือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป เพราะการนับอายุตั้งแต่เกิดจนถึงแก่ จะนับจากอายุของเซลล์ วัยตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่นจะมีเซลล์ถูกสร้างมากถึงหนึ่งร้อยล้านล้านเซลล์ ขณะเดียวกันจะมีเซลล์ที่ถูกทำลายน้อยมาก เซลล์จึงไม่ตาย ผิวพรรณจึงเต่งตึง
ในทางกลับกัน พออายุเริ่มเข้าสู่วัย 35 ปี เซลล์ที่ถูกสร้างมาตลอดจะเริ่มลดน้อยลง ขณะเดียวกันก็จะมีเซลล์ที่ถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เริ่มมีผิวหนังเริ่มเหี่ยว ย่น เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ดังนั้นการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเป็นผู้สูงวัย ถ้าเริ่มหลังจากอายุ 40-50 จะช้าเกินไป จึงต้องเริ่มกันตั้งแต่เนิน ๆ ในช่วงอายุถึงตัวเลข 35 ทั้งนี้ต้องไม่ลืมปฏิบัติตามหลัก3 อ. และ 2 ส. คือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย อารมณ์ดี หลีกเลี่ยงบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา
สำหรับการหาข้อมูลเพื่อเตรียมพร้อมและปรับพฤติกรรมของตัวเองแล้ว ถึงวันนี้ ใน Facebook ก็มีแฟนเพจซึ่งให้ข้อมูลเพื่อเตรียมรับมือกับวัยชราที่น่าสนใจมากมาย เช่น แฟนเพจ 'ป้าเป็นนักกำหนดอาหาร' ซึ่งมักยกประเด็นที่พูดถึงการดูแลอาหารของผู้อายุที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะขาดสารอาหารมากกว่าวัยอื่น ๆ เพราะกลไกของร่างกาย เช่น ความอยากอาหารลดลง ปัญหาการเคี้ยว-กลืนอาหาร และความสามารถในการเคลื่อนไหว การทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองลดลง ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
ฐนิต วินิจจะกูล นักกำหนดอาหารอาชีพ แห่งเพจป้าเป็นนักกำหนดอาหาร บอกว่า การจะกำหนดว่าผู้สูงวัยควรทานมากน้อยเพียงใดต้องดูเป็นกรณีไป เนื่องจากผู้สูงวัยแต่ละคนอาจจะมีโรคประจำตัวหรือความพร้อมของร่างกายแตกต่างกัน การจะบอกได้ว่าท่านไหนควรรับประทานอาหารประเภทไหน เพิ่ม หรือ ลด ควรปรึกษานักกำหนดอาหารเป็นรายบุคคลน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดเพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบต่อโรคที่เป็นอยู่ในขณะนั้น
"จากประสบการณ์การทำงานในอาชีพ พบว่า เมื่อมีโรคประจำตัว ตัวผู้สูงอายุ หรือญาติมักจะกังวลเรื่องการรับประทานอาหาร แล้วส่งผลต่อโรค จึงห้ามทานโน่นทานนี่ สุดท้ายผลที่ตามมา คือผู้สูงอายุเสียชีวิตเพราะขาดสารอาหาร ไม่ใช่เสียชีวิตจากโรคที่เป็นอยู่" ฐนิต กล่าว
สิ่งที่อยากแนะนำสำหรับผู้สูงอายุ ควรมีการวางแผนเพื่อกำหนดอาหารเป็นรายบุคคลร่วมกับนักกำหนดอาหาร เพราะจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการบริโภคอาหารด้วย โดยที่ไม่ควรเข้มงวดเกินไป ประเมินความจำเป็นที่จะต้องควบคุมอาหารจากสภาวะของโรคในขณะนั้นเป็นหลัก ซึ่งมีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าในผู้สูงอายุที่บริโภคอาหารอย่างหลากหลายมีแนวโน้มที่จะมีภาวะโภชนาการที่ดีกว่าผู้สูงอายุที่บริโภคอาหารที่จำกัดเพียงไม่กี่ประเภท
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลักการใช้ 3 อ. 2 ส. จึงเป็นคัมภีร์ เป็นตัวช่วยเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การเป็นผู้สูงวัยได้อย่างดี และยังเป็นแนวทางการไปสู่การเป็นผู้สูงวัยที่สมาร์ท ห่างไกลโรค มีสุขภาพกายแข็งแรง และมีสุขภาพใจที่ดีอีกด้วย