‘กลุ่มใบไม้’กับงานอาสาไร้กรอบคืนวิถี…’ลิง’บนเขาใหญ่!!
มองเผินๆ คงไม่ต่างจากทั่วๆ ไป เพราะประเมินลักษณะท่าทาง การพูดจา หิ้วกีตาร์ร้องเพลง ตลอดจนแนวคิดเช่นนี้ เดาไม่ยากว่า “พวกเขา” คือเยาวชนทำค่ายอีกกลุ่ม ผู้อุทิศเวลานอกห้องเรียนให้การแสวงหาเดินทางจากเมืองสู่ชนบท
แต่ถ้าใครได้ใช้เวลาให้มากอีกหน่อย ลองพูดคุย พิจารณาผลงาน กระทั่งทดสอบมุมมองความคิด คงได้พบชีวิตชีวาในทัศนคติขึ้นอีกไม่น้อย ด้วยในความเหมือนแบบที่ใครๆ เป็น มีบางมุมซุกความ “ต่าง” ไว้ในที
ยกตัวอย่างการรวมตัวของ “กลุ่มใบไม้” ก่อนจะเป็นเครือข่ายเยาวชนทำกิจกรรมนั้น พวกเขาเองล้วนมีที่มาหลากหลาย ทั้งต่างคณะ ต่างมหาวิทยาลัย แต่ “นัดพบ” กันบนเครือข่าย โซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยมี “ความอยากเรียนรู้” เป็นสื่อกลาง
“ไม่จำเป็นต้องเรียนห้องเดียว อยู่คณะเดียวกันถึงจะมาร่วมงานกับเราได้ เราเพียงจะโพสต์ลงเฟซบุ๊กว่าจะทำกิจกรรมแบบนี้ขึ้น หากใครสนใจก็ขอให้ลงชื่อ และแน่นอนว่าใครจะเคยผ่านกิจกรรมมามากขนาดไหน อายุเยอะกว่าอย่างไรไม่สำคัญ กลุ่มเราไม่มีใครเป็นผู้นำใครตาม เราเคารพกันในความอาวุโสแบบพี่-น้องก็จริง แต่เวลางานไม่มีใครผูกขาดการตัดสินใจ เราเพียงแบ่งงานตามความชอบ ความถนัดแต่ละคนโดยมีกติกาเล็กๆ ร่วมกันเพื่อให้งานที่ทำสำเร็จเท่านั้น”เก่ง-โชคนิธิ คงชุ่ม นักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติ (ชีววิทยาเชิงอนุรักษ์) มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรีบอก
ที่เขาว่าข้างต้นมันก็ท่าจะจริง เพราะเมื่อลองถามทั้ง พลอย-พิไลวรรณ จันทร์แก้ว นักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์การเกษตร มหาวิทยาลัยมหิดล กาญจนบุรี และ อู๋-ก้องพิสิษฐ์ รักษาศิลป์ คณะพาณิชย์นาวี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชาอีก 2 สมาชิกของกลุ่มใบไม้ก็อธิบายที่มาไม่ต่างกัน เพราะแม้คนหนึ่งจะอยู่ต่างคณะอีกรายต่างรั้วสถาบันแต่เช่นนั้นโชคชะตาพัดพาให้พบกันจนได้
“ถ้าคุณเป็นน้อง คุณเดินมาสมัครกับชมรมค่ายในมหาวิทยาลัย พี่ๆ จะบอกว่าเรายังเด็กอยู่ ให้ไปเป็นน้องค่ายก่อนทุกครั้ง แบบนั้นมันก็ดี แต่มันก็ไม่ใช่กิจกรรมในแบบที่เราชอบ เราเพียงอยากคิดกระบวนการ ตั้งประเด็นขึ้นเอง สร้างกิจกรรมในแบบของเรา ไม่ต้องมีกรอบ ทุกคนมีสิทธิ มีอิสระเท่าๆ กันที่จะทำในสิ่งที่อยาก” พวกเขาลงความเห็น
หากใครลองสำรวจเว็บไซต์กลุ่มใบไม้ กระทั่งลองเสิร์ชถึงเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ “เก่ง ใบไม้” จะพบว่าในหน้าเพจที่ว่า มีทั้งข่าวสาร และเครือข่ายสังคมซึ่งต่างทำงานในหลากหลายประเด็น อาทิ วัฒนธรรม สิทธิชุมชน ศิลปะ สิ่งแวดล้อม
ซึ่ง “เก่ง” เจ้าของหน้าเพจอธิบายว่า ทั้งเพื่อน และความสนใจทั้งหมดที่พวกเขาได้รับ ล้วนผลิหน่อจากการเปิดหน้าต่างทำค่ายอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือค่ายสร้างสุข กับมูลนิธิโกมลคีมทอง และงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
“พวกเราลองทำหมดตามโอกาสพยายามศึกษาในทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกันกับสังคม ซึ่งก็โชคดีที่ค่ายโกมลฯ ให้โอกาส แต่จากประสบการณ์ผม และเพื่อนๆ จะถนัดงานด้านสิ่งแวดล้อม อย่างชื่อกลุ่มใบไม้ก็มาจากการทำค่ายแรกกับมูล นิธิโกมลฯ ตอนนั้นมีโอกาสทำค่ายสิ่งแวดล้อมที่เข้ากับเรื่องโลกร้อน ก็เลยเป็นจุดเริ่มของชื่อใบไม้ เพราะเหมาะสมและเรียบง่ายดี เราพยายามจะเชื่อมประเด็นสิ่งแวดล้อมเข้ากับปัญหาสังคม อย่างล่าสุดที่ทำกับค่ายสร้างสุขก็ไปทำที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ทำเรื่องป่าชุมชน ไปดูเรื่องการบุกรุกป่า ก็เรียนรู้เรื่องสิทธิชุมชน รู้ประวัติศาสตร์ชุมชน ที่ไม่เคยรู้มาก่อน” เก่งว่าครั้นพอลองถามว่าค่ายแบบไหนที่พวกเขาชอบ ก็ได้รับคำตอบว่า “ค่ายทุกค่ายล้วนมีเรื่องราวในตัว และมีมูลค่าแตกต่างออกไปเสมอ อย่างไรก็ตามหลักที่ ‘ยึด’ มาตลอดคือความเป็นอิสระ และไม่มีธงใดๆ มาผูกมัดตัวเอง”
ตัวอย่างที่พวกเขาเอ่ยคือ ค่ายที่ไปเขาใหญ่ ซึ่งได้ไอเดียมาจากปัญหาเล็กๆ นั่นคือการที่ลิงที่อาศัยอยู่บนเขาจากเดิม ล้วนเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการหาอาหารกินตามธรรมชาติ มาเป็นการลงมายืนรอรับอาหารบนผิวถนนที่นักท่องเที่ยวสัญจรไปมา
“ลิงที่เคยอยู่บนเขา ลงมาบนถนนเพราะมีคนให้อาหารมันกินตลอด ทำให้พื้นที่ตรงนั้นไม่เป็นระเบียบ มีไม่น้อยที่ต้องถูกรถชนตาย โครงการนั้นเราต่อสู้กับวิธีคิดของสังคมไทยส่วนใหญ่ คือการใจบุญให้อาหารสัตว์ ซึ่งยากมากที่จะปรับเปลี่ยนปัญหาได้ เพราะนักท่องเที่ยวเมื่อเขามาชื่นชมธรรมชาติ แล้วอีกมุมเขาก็อยากทำบุญไปในตัว และการโยนอาหารให้ลิงในเวลาเดียวกัน และนั้นก็ตอบสนองเขาได้” อู๋ และพลอยสรุป ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมตั้งประเด็นว่า วิธีคิดเช่นนี้ ล้วนถูกปรุงแต่งจากมุมมองจำพวกการให้ความสงเคราะห์แก่สัตว์จากสื่อมวลชนกระแสหลัก อาทิ การเลี้ยงโต๊ะจีนลิง ทั้งที่ทางที่ดีที่สุดควรจะปล่อยให้ลิงพวกนั้นอยู่กันตามธรรมชาติไม่ใช่หรือ
“ข้อสงสัย และสมมติฐานเช่นนั้น เราจัดแคมเปญรณรงค์ต่อเนื่อง เป็นเดือนๆ หวังเปลี่ยนพฤติกรรมคน ทั้งถือป้ายเอง บอกผ่านชาวบ้าน ร่วมผลิตสื่อเพื่อบอกกับนักท่องเที่ยว ซึ่งมันก็ได้ผลบ้างบางส่วน แต่ก็ต้องยอมรับว่าพฤติกรรม เช่นนี้มันคงจะเปลี่ยนทีเดียวไม่ได้ ต้องใช้หลายส่วนช่วย ทั้งการผลิตสื่อ แผ่นผับ ประชาสัมพันธ์ ในสื่อชุมชน และโซเชียลมีเดียที่บอกต่อๆ กัน จนถึงวันนี้ แม้จะไม่มีโอกาสไปเขาใหญ่บ่อยๆ เหมือนเคย แต่หน้าเพจของผมก็มีสื่อรณรงค์การให้อาหารลิงที่เขาใหญ่อยู่” เก่งอธิบาย “ครั้งหนึ่งก่อนทำกิจกรรม พวกเขาคิดไม่ต่างจากนักท่องเที่ยว หากเมื่อสวมหมวกอีกใบที่นักกิจกรรมทำค่ายอนุรักษ์ วิธีคิดเขาเริ่มแตกต่อ และปรับเปลี่ยนไปตามความเป็นจริง ซึ่งเมื่อไม่มีกรอบคิด-ธงนำ ก็จะได้อิสระในคำตอบ
ทั้งนี้ ความพยายามของ “กลุ่มใบไม้” ที่สานงานด้านสิ่งแวดล้อม ได้เข้าตากรรมการประเมินผลงานมูลนิธิโกมลคีมทอง จนได้รางวัลประกาศบุคคลเกียรติยศประเภทเยาวชนด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ และขึ้นรับรางวัลเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
“รางวัลของครูโกมลฯ ส่วนใหญ่จะให้ผู้ใหญ่ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม แต่ปีนี้มีการมอบรางวัลประเภทเยาวชนเป็นครั้งแรกซึ่งพวกเราก็ได้รางวัลไป และผลที่ได้รับเช่นนี้ทำให้เราภูมิใจมาก”
ทั้งยังเป็นยาชูกำลังให้ “กลุ่มใบไม้” มุ่งมั่นสร้างค่ายแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อสังคมต่อไปเรื่อยๆ
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน