กลุ่มเกษตรอินทรีย์และชีวภาพ บ้านคลองกล้วย ต้นแบบชุมชนเข้มแข็ง
ปัจจุบันการผลิตสินค้าต่างๆ มักออกมา ในรูปแบบของกลุ่มหรือสหกรณ์ เพื่อ ต่อรองกับกลุ่มพ่อค้าคนกลางเพื่อจำหน่ายสินค้าให้ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งเพื่อการต่อรองในการซื้อวัตถุดิบที่จะนำมาผลิตเป็นสินค้าก่อนจะออกสู่ท้องตลาด ถือว่าเป็นการลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง เป็นการช่วยเหลือสมาชิก ในกลุ่ม เช่นเดียวกับ “กลุ่มเกษตรอินทรีย์และชีวภาพบ้านคลองกล้วย” หมู่ 8 ต.คอรุม อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ชาวบ้านก็มีการรวมกลุ่มกันขึ้นมาเพื่อผลิตข้าวปลอดสารพิษออกจำหน่าย เพื่อช่วยเหลือสมาชิกและชุมชน โดยรอบ
นายมานัส รัตนสากล ผู้ใหญ่บ้าน คลองกล้วย ในฐานะรองประธานกลุ่มเกษตรอินทรีย์ และชีวภาพบ้านคลองกล้วย บอกว่า ก่อนหน้านี้ชาวบ้านทำนาเป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำ ใครอยากขายข้าวราคาเท่าไหร่ ก็ขาย โดยไม่คำนึงถึงราคาต้นทุนการผลิต ว่าจะมากหรือน้อย เมื่อขายข้าวแล้วจะมีกำไรมากน้อยแค่ไหนไม่มีการคำนวณ และสิ่งหนึ่งที่คู่กับการผลิตข้าวของชาวบ้านคือ การใช้ สารเคมีและปุ๋ยเคมีในนาข้าว เพื่อให้ได้ผลผลิตออกมาเร็วโดยไม่ค่อยนึกถึงคุณและโทษที่จะตามมาจากการทำนา
กระทั่งปี 2548 ทางชุมชนบ้านคลองกล้วย ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ตามโครงการ sml จากปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ทางชุมชนจึงได้ดำเนินการจัดตั้งกลุ่มขึ้น มีการรวมหุ้นกันคนละ 100 บาท โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ และได้นำงบประมาณมาสร้างโรงสีข้าวชุมชน เกิดเป็นโรงสีข้าวชุมชนบ้านคลองกล้วย สร้างรายได้เพื่อใช้หมุนเวียนในกลุ่ม มีผลิตภัณฑ์เป็นข้าวสารขายให้กับคนในชุมชน ต่อมาเกิดปัญหาข้าวดีด ข้าวเด้ง โรคข้าว และคุณภาพของดินเสื่อมลงมาก อีกทั้งยังทำให้ต้นทุนของการผลิตสูงขึ้นอีก ทางชุมชนจึงต้องหาแนวทางแก้ไขปัญหา
ต่อมาจึงมีการจัดตั้งกลุ่มผลิตสารชีวภัณฑ์ กลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ผลิตเม็ดพันธุ์จังหวัดแพร่ กลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ปั้นเม็ด และบริการรถดำนาในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยการผลิตสารชีวะภัณฑ์ต่างๆ มาใช้แทน สารเคมี ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ปั้นเม็ด เพื่อบำรุงดินให้มีสภาพที่สมดุลขึ้น และดำเนินการ ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อแก้ไขปัญหาข้าวดีด ข้าวเด้ง ให้ลดลง ทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง ต่อมาทางกลุ่มได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่ม ผลิตภัณฑ์บ้านคลองกล้วยขึ้น รวบรวมกิจกรรมที่เกิดขึ้น เกิดเป็นศูนย์เรียนรู้ที่เรียกว่า “ศูนย์เรียนรู้โรงเรียนข้าว วิสาหกิจชุมชนบ้านคลองกล้วย”
ศูนย์เรียนรู้โรงเรียนข้าวเป็นวิสาหกิจชุมชน ที่ประสบ ผลสำเร็จสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้ที่สนใจเข้าศึกษาเพื่อนำความรู้ต่างๆ ไปพัฒนาให้กับชุมชนของตนเองได้ และจะทำให้ชุมชนของตนเองเจริญรุ่งเรือง ต่อไปได้อย่างยั่งยืนคือ 1.คนในชุมชนมีความสามัคคี มีความ เข้มแข็ง 2. หน่วยงานของรัฐ เข้ามาช่วยเหลือพร้อมให้คำแนะนำ 3. ภายในชุมชนมีแหล่งความรู้ ที่สามารถเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน 4.การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ศูนย์เรียนรู้โรงเรียนข้าว วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านคลองกล้วย
ปัจจุบันเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ได้รับความสนใจจากคนในชุมชน และบุคคลภายนอกมีคนเข้ามาศึกษาดูงานกันอย่างแพร่หลาย และยังเป็นศูนย์ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่จำหน่ายให้กับเกษตรกรทั่วไป และส่งผลให้ทางศูนย์ ฯ มีรางวัลที่ได้รับเพื่อการันตีถึงความสำเร็จอีกมากมาย หลังจากกลุ่มฯ สามารถดำเนินการกิจการผลผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวอินทรีย์สำเร็จ ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ประสานมาทางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) คอรุม เพื่อขอให้ศูนย์คลองกล้วย เป็นศูนย์รู้การผลิต และลดต้นทุนการผลิตให้กับกลุ่มเกษตรกรที่สนใจการผลิตข้าวปลอดสารพิษที่ได้มาตรฐาน โดยเฉลี่ยแล้ว สสส.จะนำกลุ่มเกษตรกรจากต่างจังหวัดเข้ามาศึกษาดูงานที่ ศูนย์เป็นประจำ
สำหรับกิจกรรมที่กลุ่มดำเนินการสำเร็จเป็นรูปธรรมแล้วคือ การผลิตสารชีวภัณฑ์ เน้นเรื่องความปลอดภัยทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญเป็นการประหยัดต้นทุนการผลิต ซึ่งก่อนหน้านี้การทำนามักจะใช้สารเคมี แต่ก็มีอันตรายจากการทำนาตามมา คือ สารเคมีตกค้างในข้าวทำให้ผู้บริโภคมีอันตรายจากการบริโภคข้าว อีกทั้งราคาสารเคมีก็แพงมาก จึงขอคำแนะนำจากเกษตรตำบลว่าอยากลดต้นทุนการผลิต ซึ่งเกษตรตำบลก็เข้ามาแนะนำการผลิตสาร ชีวภัณฑ์ใช้ในกลุ่มที่ปราศจากสารเคมี เนื่องจากสารชีวภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นจาก ข้าวโพด เชื้อรา แบคทีเรีย จุลินทรีย์ สมุนไพรเช่น สะเดา
การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เนื่องจากข้าววัชพืชในนาข้าวมีจำนวนมาก ประกอบกับราคาข้าวที่ตกต่ำมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และข้าวบางแปลงไม่สามารถทำการเก็บเกี่ยวได้ จึงเกิดแนวคิดผลิตพันธุ์ข้าวขึ้นมา โดยได้รับการสนับสนุนจากศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว จ.แพร่ เข้ามาแนะนำและให้การสนับสนุนพันธุ์ข้าว 3 ตัน ในปีแรก ทางศูนย์ก็นำสมาชิกในกลุ่มไปเรียนรู้ แต่ก็ยังคงอยู่ในการดูแลของศูนย์ข้าวแพร่อย่างใกล้ชิด จนทุกวันนี้กลุ่มสามารถทำการผลิตได้เอง จนได้รับรางวัลระดับประเทศหลายรางวัล ล่าสุดทางศูนย์ฯ ได้รับงบประมาณจากโครงการเอสเอ็มแอลจำนวน 5 แสนบาทเพื่อนำมาติดตั้งเครื่องคัดคุณภาพเมล็ดพันธุ์ข้าว
ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ปั้นเม็ด เป็นผลมาจากปุ๋ย ที่ใช้ในนาข้าวมีราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิต สูงขึ้น จึงพยายามค้นหาแนวทางที่จะลดตรงนี้ขึ้นมา โดยเกษตรตำบลเข้ามาแนะนำให้หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในหมู่บ้านเช่น มูลวัว มูลควาย จากนั้นก็นำน้ำหมักชีวภาพผสมกับโดโนไมค์ และแร่ซีโอไรซ์ ซึ่งเป็นดินภูเขาที่ต้องสั่งซื้อจาก จ.ลำปาง แล้วนำมาผสมกับ มูลวัวมูลควายเข้าสู่กระบวนการปั้นให้เป็นเม็ดแล้วก็นำเข้าเตาอบให้แห้ง จากนั้นก็นำไปใส่ในนาข้าวได้ทันที
โรงสีข้าวชุมชน หน่วยงานราชการเล็งเห็นว่าบ้านคลองกล้วย มีศักยภาพในการทำนา และผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวได้เด่นกว่าพื้นที่หมู่อื่น จึงสนับสนุนงบประมาณจำนวน 1 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงสีข้าวชุมชนจำนวน 1 แห่ง เมื่อมีโรงสีชุมชนแล้ว ศูนย์ก็รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม เพื่อนำมาสีและจำหน่ายให้กับชุมชนในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ที่สำคัญเรื่องของคุณภาพและ น้ำหนักรวมถึงความปลอดภัยจะดีกว่า ท้องตลาดทั่วไป ส่วนข้าวเปลือกของชุมชน ที่ต้องการจะสีศูนย์ก็จะสีให้ฟรี
รถดำนา ก่อนหน้านี้การทำนาของเกษตรกรทำในลักษณะนาหว่าน มีผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากมีข้าววัชพืชขึ้นแซมมากกว่าข้าว ทำให้ผลผลิตได้น้อย จึงหันมาผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยการหันมาใช้รถดำนาซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากเอสเอ็มแอล 5 แสนบาท ซึ่งหลังจากหันมาใช้รถดำนาแล้ว ทำให้การทำนามีประสิทธิภาพและได้ผล เต็ม 100% เพราะดูแลเรื่องวัชพืชที่จะขึ้นใน นาข้าว การเก็บเกี่ยวก็จะได้ผลผลิตดีแถมระยะเวลาในการดำเนินการก็สั้นลงมาก
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน