กมธ.วุฒิ จับมือ สสส. ชี้สภาวะโลกร้อนกระทบเศรษฐกิจไทย

ปีละ 4.5 แสนล้าน

กมธ.วุฒิ จับมือ สสส. ชี้สภาวะโลกร้อนกระทบเศรษฐกิจไทย 

 

          แถมไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันดับที่ 31 ของโลก ภาคกลาง-ตะวันตก อ่วมรับวันอากาศร้อนสูงสุด กระทบปัญหาสุขภาพ ตายจากคลื่นความร้อน-ระบบทางเดินหายใจ-มาลาเรีย-อุจจาระร่วงชงระดับนโยบายแก้ปัญหาแบบบูรณาการ พร้อมปลุกท้องถิ่นสร้างปราการพิทักษ์สุขภาพจากโลกร้อน 

 

          เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม คณะอนุกรรมาธิการการศึกษาปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ จัดสัมมนา ผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อสุขภาวะโดยพญ.พรพันธุ์ บุณยรัตนพันธุ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาปัญหาสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า  จากสถิติในช่วง 30 ปี ระหว่างปี 2513-2544 พบว่า ทั่วโลกได้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและมีความถี่เพิ่มขึ้น เช่น การเกิดพายุแรง 121 ครั้ง ในระหว่างปี 2513-2522 ขณะที่ในปี 2532-2543 พบพายุ 300 ครั้ง ไฟป่า 11 ครั้ง เพิ่มเป็น 54 ครั้ง ดินถล่ม 34 ครั้ง เพิ่มเป็น 114 ครั้ง คลื่นยักษ์ 2 ครั้ง เพิ่มเป็น 12 ครั้ง อุณหภูมิสูงจัด 9 ครั้ง เพิ่มเป็น 70 ครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งหากไม่มีมาตรการแก้ไขคาดว่าความสูญเสียของทุกประเทศในแต่ละปีจะมีมูลค่าสูงถึง 5-20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของโลก (world GDP) สำหรับประเทศไทย 5% ของ GDP จะมีมูลค่าถึง 4.5 แสนล้านบาท หรือครึ่งหนึ่งของงบประมาณแผ่นดิน

 

          พญ.พรพันธุ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาภาวะโลกร้อนเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆทั่วโลก เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ 31 ของโลก หรืออันดับ 4 ของอาเซียน ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของไทยสูงขึ้น จำนวนวันที่มีอากาศร้อนเพิ่มขึ้น ระดับน้ำทะเลมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น 20 มิลลิเมตร/ปี นับตั้งแต่ปี 2503 เป็นเหตุให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอ่าวไทยถึงขั้นวิกฤติ รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ การสร้างความตระหนักในสังคม และในระดับนโยบาย ควรมีการทำงานที่เชื่อมโยงกันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม ต้องดำเนินยุทธศาสตร์ด้านการลดโลกร้อนอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับระดับท้องถิ่นที่ต้องสร้างความร่วมมือของชุมชนให้เกิดการมีส่วนร่วม เพื่อเป็นปราการหนึ่งในการพิทักษ์สุขภาพจากโลกร้อน 

    

          นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงในประเทศไทยที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้จำนวนวันที่ร้อนกว่า 35 องศา มีมากขึ้น โดยภาคที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นในช่วงกลางวันคือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคเหนือตอนล่าง ในช่วงเดือนเมษายน จะมีอุณหภูมิประมาณ 42-43 องศา ส่วนคืนที่เย็นจะหายไปเรื่อยๆ พื้นที่อากาศเย็นจะเหลือเพียงพื้นที่เทือกเขาสูง ปริมาณฝนโดยรวมจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก แต่จำนวนวันฝนตกจะมีความเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่เป็นคู่แข่งของการปลูกข้าวพบว่า เวียดนามมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสูงกว่าไทย แต่ความสามารถในการรับมือของเวียดนามจะดีกว่าไทย และระดับน้ำทะเลจะมีความแปรปรวนสูงมาก ทำให้พื้นที่ชายฝั่งมีความเสี่ยงสูง โดยปัญหาน้ำจะเป็นเรื่องที่สำคัญของประเทศ 

กมธ.วุฒิ จับมือ สสส. ชี้สภาวะโลกร้อนกระทบเศรษฐกิจไทย

 

          นายอรรถชัย จินตะเวช อาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อภาคการเกษตร คือ อายุข้าวจะสั้นลง เพราะอากาศร้อนที่มากขึ้น ทำให้กระทบต่อการผลิตข้าว 100% ดังนั้นเราต้องปรับตัวในกระบวนการผลิต โดยต้องเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพราะในแต่ละพื้นที่มีความหลากหลาย เพื่อให้เกิดการปรับตัวในแต่ละพื้นที่ และควรมีการศึกษาถึงภาวะโลกร้อนในระยะยาว รวมถึงการปรับแนวคิด และสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจของคนทุกกลุ่ม 

 

          นพ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงทางสุขภาวะของภาวะโลกร้อนคือ กลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ หลอดเลือด ซึ่งอาจเสียชีวิตได้ เมื่อเกิดคลื่นความร้อนสูง รวมทั้งคนในเขตเมืองที่คลื่นความร้อนไม่กระจายตัว ซึ่งในสหรัฐอเมริกา มีผู้เสียชีวิตจากความร้อนมากกว่าผู้เสียชีวิตจากพายุเฮอร์ริเคน โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยถึง 175 คน/ปี  สำหรับประเทศไทยมีผู้เจ็บป่วยจากความร้อนเพิ่มขึ้น โดยจังหวัดที่มีผู้ป่วยสูงสุดคือ มุกดาหาร ตามด้วยนครราชสีมา และกาญจนบุรี ส่วนผลกระทบจากมลพิษทางอากาศที่เกิดจากปัญหาหมอกควัน ซึ่งในภาคเหนือ มีผู้ป่วยจากระบบทางเดินหายใจถึง 1 แสนราย โดย จ.แม่ฮ่องสอน มีผู้ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพองสูงสุด เพราะมีปริมาณฝุ่นสูงสุด ตามด้วย จ.น่าน และ จ.พะเยา  นอกจากนี้อุณภูมิที่สูงขึ้นและรูปแบบของฝนตกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การกระจายของแมลงที่เป็นพาหะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดโรคมาลาเรียและไข้เลือดออก รวมถึงภาวะน้ำท่วมได้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอุจจาระร่วง โรคฉี่หนู และน้ำกัดเท้า

 

          นายสุริยา ยีขุน นายกเทศมนตรีตำบลปริก อำเภอสะเดา จ.สงขลา กล่าวถึงปราการพิทักษ์มลภาวะในชุมชนว่า ตำบลปริก ได้มีแนวคิดการจัดการขยะฐานศูนย์  เนื่องจากที่ผ่านมาตำบลปริกมีขยะถึงวันละ 8-10 ตัน ทำให้ต้องใช้งบประมาณเพื่อขนย้ายขยะถึงปีละ 3ล้านบาท จึงมองว่า หากสามารถจัดการกับขยะอินทรีย์ที่มีอยู่ 67% และมีขยะรีไซเคิล อีก 20% ได้ ทำให้เหลือขยะที่ต้องจัดการเพียง 10% เท่านั้น ทำให้เกิดแนวคิดการจัดการขยะในชุมชนจากต้นทาง กลางทาง และปลายทาง โดยการจัดการขยะต้นทางคือ การสร้างความเข้าใจ และฝึกให้คนในชุมชนร่วมกันการจัดการขยะในครัวเรือน เช่น การคัดแยกขยะ การนำขยะอินทรีย์เป็นปุ๋ยหรือทำเป็นก๊าซชีวภาพ รวมถึงการนำน้ำล้างข้าวสารมาใช้ประโยชน์ทำน้ำยาล้างจาน  ส่วนการจัดการขยะกลางทางคือ การจัดตั้งธนาคารขยะ โดยเยาวชนเป็นผู้จัดการ เพื่อเป็นหน่วยรับซื้อขยะรีไซเคิล และการจัดการขยะปลายทาง โดยเทศบาลจะเป็นผู้คัดแยกขยะส่วนที่เหลือ โดยมีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในบ่อขยะเพื่อทำปุ๋ย ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อปุ๋ย ไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท ทั้งนี้การจัดการขยะถือเป็นนโยบายที่ท้องถิ่นควรทำ โดยต้องทำงานร่วมกับประชาชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในทางปฏิบัติ

 

 

 

 

 

 

ที่มา : สำนักข่าว สสส.

 

 

 

Update: 20-08-53

อัพเดตเนื้อหาโดย: คมสัน ไชยองค์การ

Shares:
QR Code :
QR Code