กพย.จี้กรมทรัพย์สินปัญญา ปรับปรุงกฎกติกาเอื้อยาไทย
แผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) เปิดเผยผลงานวิจัยเรื่อง “มาตรการการทำการคัดค้านก่อนการออกสิทธิบัตร (pre-grant opposition) และการดำเนินการเพื่อเพิกถอนสิทธิบัตร (patent revocation): ถอดบทเรียนบริษัทยาในประเทศไทย” ซึ่งพบว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมยาต้นแบบมักใช้มาตรการทางกฎหมายด้วยการยื่นโนติสและฟ้องร้องบริษัทยาชื่อสามัญว่าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อหวังสกัดยาชื่อสามัญเข้าสู่ตลาด
ผศ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ กพย.กล่าวว่า ผลงานวิจัยพบว่าบริษัทยาต้นแบบเลือกใช้การฟ้องร้องเอาผิดทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องการละเมิดสิทธิบัตร, เครื่องหมายการค้า หรือแม้แต่ละเมิดลิขสิทธิ์ในเอกสารกำกับยาทั้งๆที่ไม่ใช่วรรณกรรมตามกฎหมายไทย นอกจากนี้ ในระหว่างคดีอยู่ในศาลยังใช้กลวิธีการส่งจดหมายไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ให้ระงับการสั่งซื้อยาชื่อสามัญที่เป็นคดีความ ทั้งๆที่คดียังไม่สิ้นสุด หากบริษัทยาชื่อสามัญเล็กๆ ที่ไม่มีฝ่ายกฎหมายหรือฝ่ายสิทธิบัตรที่แข็งแกร่งมากพอ ก็อาจจะถอดใจ ไม่สู้คดี ถอนยาจากตลาด ซึ่งทำให้บริษัทยาต้นแบบผูกขาดและเรียกราคายาได้แพงขึ้น แต่ในที่สุดศาลอาจจะชี้ว่าบริษัทยาชื่อสามัญอาจจะไม่ได้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
ผศ.ดร.นิยดา กล่าวว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องปรับปรุงระบบสืบค้นฐานข้อมูลสิทธิบัตรที่มีคุณภาพและเสถียรมากพอ, คู่มือการตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรที่มีความชัดเจน เพื่อป้องกันการขอสิทธิบัตรที่ไม่เหมาะสมหรือevergreening patent, และพัฒนาระบบการคัดค้านก่อนการออกสิทธิบัตรให้มีระยะเวลามากพอสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ จะได้ช่วยตรวจสอบให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันอุตสาหกรรมยาข้ามชาติใช้เงินทุนที่เหนือกว่าใช้ช่องทางกฎหมายรังแกบริษัทยาชื่อสามัญในประเทศ
รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากเอกสารงานวิจัยชี้ให้เห็นชัดว่า มีความพยายามในการทำให้ระบบการตรวจสอบทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะสิทธิบัตรของไทยอ่อนแอลง ซึ่งนี่จะกระทบกับสาธารณะโดยรวมอย่างไม่มีความสมดุล “กรมทรัพย์สินทางปัญญาควรแก้ไขปรับปรุงกฎกติกาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อบริษัทยาชื่อสามัญของประเทศไทย และจำเป็นต้องเท่าทันต่อแรงกดดัน กลวิธีต่างๆ ของบริษัทยาต้นแบบ ซึ่งถูกหนุนหลังโดยประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก ไม่โอนอ่อนไปตามอิทธิพลหรือการเจรจาที่จะตัดตอนการเติบโตของอุตสาหกรรมของประเทศดังที่เคยเป็นมาแล้ว เมื่อยอมแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตรก่อนล่วงหน้าถึง 8ปีเต็ม ซึ่งทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสมหาศาล เมื่อเทียบกับอินเดียที่แก้ไขในอีก 13ปีต่อมา
นางอัฉรา เอกแสงศรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า หน่วยงานด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาควรเข้ามาช่วยเหลือบริษัทยาเล็กๆ ที่อาจถูกขู่ หรือช่วยตรวจสอบและคัดค้านคำขอสิทธิบัตรที่ไม่เหมาะสม ได้พบคำขอไม่ต่ำกว่า 3ฉบับที่ยื่นตรวจสอบการประดิษฐ์ในปี 2553ซึ่ง เกิน 5ปีนับจากวันประกาศโฆษณาอีกทั้งสถานะเดิมเคยลงว่ายื่นตรวจสอบไปแล้วเมื่อปี 2545ซึ่งไม่ควรเป็นไปได้ หากระบบยังไม่พร้อมเช่นนี้ บริษัทยาชื่อสามัญก็จะไม่มีความมั่นใจเดินหน้าผลิตยาที่คิดว่าไม่ละเมิดสิทธิบัตรมาแข่งขันในตลาดเพื่อให้ยามีราคาถูกลง” นางอัจฉรากล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน