โรงเรียนผู้สูงอายุ หนุนสุขภาพกาย-ใจ
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
แฟ้มภาพ
สสส.-มส.ผส. ถอดบทเรียน “โรงเรียนผู้สูงอายุ” แนะเพิ่มสัดส่วนวิชาการ ถ่ายทอดความรู้ดูแลสุขภาพกาย-ใจ หวังพัฒนาเสริมศักยภาพผู้สูงอายุ เป็น “Active Aging” ลดการพึ่งพิง พร้อมเสนอคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เพิ่มภารกิจโรงเรียนผู้สูงอายุให้อปท. บริหารจัดการ ในเดือน มี.ค.นี้
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) จัดเวทีแลกเปลี่ยน “การขับเคลื่อนผลักดันนโยบายโรงเรียนผู้สูงอายุสู่ชุมชน” โดยพญ.ลัดดา ดำริการเลิศ เลขาธิการมส.ผส. กล่าวว่า มส.ผส. ร่วมกับสสส. จัดเวทีสาธารณะเพื่อนำเสนอผลการศึกษาการถอดบทเรียนการจัดการโรงเรียนผู้สูงอายุที่ดี โดยเฉพาะในประเด็นการจัดกิจกรรมเพื่อถ่ายทอดความรู้ ตามแนวคิดการศึกษานอกโรงเรียนเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้สูงอายุให้เป็น ผู้สูงอายุที่มีศักยภาพหรือมีภาวะพฤฒิพลัง (Active Aging) เพื่อเสริมสร้างการเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมสูงอายุของประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาคลอบคลุมบริบททั้ง กาย จิต เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ค่านิยม ปัญญา และความสุข
อย่างไรก็ตามพบว่าปัจจุบันมีโรงเรียนผู้สูงอายุจำนวนมากทั่วประเทศ ที่มีความหลากหลายทั้งสถานที่ รูปแบบ และวิธีการ ขึ้นอยู่กับบริบทพื้นที่และความต้องการของผู้สูงอายุในแต่และแห่ง ดังนั้น มส.ผส. จึงได้ทำการศึกษาเพื่อหาต้นแบบในการจัดตั้งหรือพัฒนาโรงเรียนผู้สูงอายุที่ดีต่อไปในอนาคต พร้อมเตรียมที่จะเสนอการจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ(กผส.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในเดือนมีนาคมนี้ โดยเสนอให้เป็นภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ในการรับผิดชอบบริหารจัดการศึกษาสำหรับผู้สูงอายุในพื้นที่ของตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ
ด้าน ศ.ศศิพัฒน์ ยอดเพชร นักวิจัย คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากการศึกษา “การถอดบทเรียนตัวอย่างที่ดีของโรงเรียนผู้สูงอายุที่มีกิจกรรมถ่ายทอดความรู้” ในโรงเรียนผู้สูงอายุ 9 แห่ง พบว่า โรงเรียนผู้สูงอายุจากเดิมที่เป็นกิจกรรมที่หน่วยงานหรือชุมชนจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุออกจากบ้านมาพบปะผู้อื่น คลายเหงา สร้างความรื่นเริง สร้างความสุขนั้น ควรเพิ่มมิติในการจัดการศึกษา เพื่อเติมความรู้ด้านต่างๆ แก่ผู้สูงอายุ เช่น การดูแลสุขภาพ โภชนาการ การรับมือกับสังคมที่เปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีและการสื่อสาร และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ ผ่านเทคนิคการสอนวิธีการต่างๆ โดยใช้เวลาในการเรียนรู้อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกัน 4-8 เดือน ขณะเดียวกันหน่วยงานที่จะจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุควรทำความเข้าใจกับจุดมุ่งหมายและบริการของโรงเรียนผู้สูงอายุ ศึกษาความต้องการเรียนรู้ของผู้สูงอายุในชุมชน โดยพิจารณาองค์ประกอบที่สำคัญ เช่น ที่ตั้งโรงเรียน ห้องเรียนที่เหมาะสม การเดินทางไปโรงเรียนด้วยความสะดวกปลอดภัย
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สสส. กล่าวว่า สสส. ให้ความสำคัญและสนับสนุนโรงเรียนผู้สูงอายุ ภายใต้แนวคิดการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง ลดการพึ่งพิง โดยเสริมการทำงานของภาครัฐและตอบโจทย์นโยบายประชารัฐเพื่อสังคมซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล โดยเริ่มจากกระบวนการศึกษา ถอดบทเรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากโรงเรียนผู้สูงอายุที่มีการดำเนินงานประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ และนำข้อค้นพบความสำเร็จมาสู่การพัฒนาดำเนินงานต่อยอด เพื่อพัฒนาเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานสำหรับโรงเรียนผู้สูงอายุที่เหมาะสม สามารถนำไปต่อยอดขยายผลในพื้นที่ต่าง ๆ ได้สะดวก และมีโอกาสประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นพลังของสังคม ชุมชนอย่างต่อเนื่อง และเกิดการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิตอย่างแท้จริง