โรคที่เกิดจากสัตว์ในถ้ำ
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
แฟ้มภาพ
เหตุการณ์ทีมหมูป่า 13 คนติดอยู่ภายในถ้ำหลวง จ.เชียงราย ภารกิจสำคัญไม่ได้มีเพียงการกู้ภัยช่วยชีวิตผู้ประสบภัยออกจากภายในถ้ำ และรักษาพยาบาลอาการเจ็บป่วยจนสามารถใช้ชีวิตตามปกติเท่านั้น แต่ในมุมหนึ่งภารกิจเฝ้าระวังโรคติดต่ออุบัติใหม่ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะพื้นที่ถ้ำดังกล่าวมีค้างคาวแหล่งรังโรคสำคัญอาศัยอยู่ด้วย มีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดโรคจากสัตว์สู่คน จนกลายเป็นการระบาดของโรคสู่บุคคลอื่นๆ
ณ วินาทีที่ทราบข่าวการประสบภัยของทั้ง 13 คน การวางแผนเตรียมความพร้อมเฝ้าระวังโรคก็เกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆ กับการวางแผนกู้ภัยช่วยชีวิต เมื่อนายสัตวแพทย์ได้ลงพื้นที่ถ้ำหลวงแล้วพบว่าบริเวณถ้ำดังกล่าว มีค้างคาวอาศัยอยู่ด้วย จึงประสานหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องและกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อวางมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค เนื่องจากไม่เพียงแต่ 13 ทีมหมูป่าเท่านั้นที่ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงติดโรค แต่ยังรวมถึงผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือด้วย
นพ.โรม บัวทอง นายแพทย์เชี่ยวชาญ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สธ. เล่าว่า ความสำคัญที่จะต้องเฝ้าระวังโรคจากภารกิจครั้งนี้ เนื่องจากในภาวะปกติหากมนุษย์จะเข้าไปในถ้ำ ต้องใส่ชุดป้องกันตนเอง เช่น ใส่หมวก แว่นและหน้ากากอนามัย แต่ในการเข้าไปช่วยชีวิตผู้ที่ติดในถ้ำอาจทำให้การป้องกันตัวเองไม่สมบูรณ์ การเฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยในผู้ประสบภัยและกลุ่ม เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปในถ้ำจะเป็นการช่วยวินิจฉัย รักษา และป้องกันโรคได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ก่อนเริ่มปฏิบัติภารกิจมีการหารือและวางแผนร่วมกันเป็นอย่างมาก เนื่องจาก เชื้อโรคในถ้ำที่จะติดต่อมาสู่คนเป็นโรคติดต่ออุบัติใหม่นั้นมีจำนวนมาก ทั้งโรคที่รู้จักอยู่แล้วและโรคที่ยังไม่รู้จัก รวมถึงระยะเวลา ในการเฝ้าระวังโรคที่มีตั้งแต่ 7, 14 และ 21 วัน หรือมากกว่าตามระยะฟักตัวของโรค ที่สุดทีมทำงานได้พิจารณาว่า "เชื้อโคโรน่าไวรัส" ก่อให้เกิดโรคเมอร์ส น่าจะเป็นเชื้อโรค ที่มีโอกาสก่อโรคอุบัติใหม่ในครั้งนี้มากที่สุดเนื่องจากค้างคาวที่อยู่ในถ้ำนี้เป็นค้างคาว กินแมลงที่นำเชื้อชนิดนี้ จึงกำหนดระยะ เฝ้าระวังโรคที่ 14 วันตามระยะฟักตัวของเชื้อโคโรน่าไวรัส รวมถึงการเฝ้าระวังโรคทั่วไป ที่รู้อยู่แล้ว เช่น ฉี่หนู ไทฟัส และลิสมาเนียซิศ เป็นต้น
ในการเฝ้าระวังครั้งนี้ แยกเป็น 2 กลุ่มเสี่ยง คือ 1.กลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้ประสบภัย เจ้าหน้าที่ที่ดำน้ำเข้าไปภายในถ้ำ และทีมสำรวจปล่องโพรงถ้ำ ซึ่งจะเป็นบริเวณที่ สัมผัสค้างคาว และ 2.กลุ่มเสี่ยงต่ำ เช่น เจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่แต่ไม่ได้เข้าไปภายในถ้ำ ผู้สื่อข่าว หรืออาสาสมัครต่างๆ กลุ่มนี้จะแจกบัตรเฝ้าระวังโรคที่ระบุอาการป่วยอาจจะเกิดขึ้นภายใน 14 วัน พร้อม คำแนะนำให้รีบไปพบแพทย์ สำหรับทีมกลุ่มเสี่ยงสูงในส่วนของผู้ประสบภัยและหน่วยซีล ที่เข้าไปอยู่กับเด็กภายในถ้ำ
เมื่อเข้าพักรักษาตัวใน รพ. ทีมนักระบาดวิทยาจะเข้าไปเก็บตัวอย่างจาก 5 ส่วนของร่างกายเพื่อส่งตรวจหาเชื้อ ได้แก่ 1.น้ำลายจากบริเวณกระพุ้งแก้ม เพราะเก็บจากต่อมน้ำลายไม่ได้ จากการที่มีภาวะน้ำลายแห้งเมื่อไม่ได้อาหารเป็นเวลานาน 2.สารคัดหลั่งบริเวณระหว่างโพรงจมูกและลำคอ 3.เลือด 4.อุจจาระ และ 5.ปัสสาวะ ซึ่งจะต้องเข้าไปเก็บครั้งเดียวให้ได้ตัวอย่างเพียงพอในการตรวจ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ป่วยมากเกินไป วันแรกเก็บตัวอย่างเสร็จเวลา 01.00 น. บรรจุตัวอย่างที่เก็บได้ลงในกล่องชนิดพิเศษที่ป้องกันการแพร่เชื้อตามมาตรฐานสากล ในการส่งตรวจโรคอันตราย นำจาก จ.เชียงราย ส่งยังกรุงเทพฯ โดยได้รับการอนุเคราะห์การเดินทางจากการบินไทยและไทยสมายล์ เสร็จงานเวลา 04.00 น.
"เมื่อส่งเชื่อให้ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ จุฬาฯ แล้ว เราก็ต้องบิน กลับไปเชียงรายเพื่อเก็บตัวอย่างทีมหมูป่า กลุ่มใหม่ในวันที่ 2 วนเวียนทำงานแบบนี้ ตลอด 3 วัน และผลการเฝ้าระวังจนถึงตอนนี้ พูดได้โรคอุบัติใหม่จากเหตุการณ์ถ้ำหลวงเคลียร์ ไม่มีผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้ บางคนตั้งคำถามว่าเราใช้งบประมาณในการเฝ้าระวังการระบาดของโรคอุบัติใหม่ในครั้งนี้มากไปหรือไม่ อยากจะบอกว่าการป้องกันโรค ไม่สามารถบอก ได้ว่าป้องกันโรค หรือป้องกันการสูญเสีย ได้เท่าไร แต่บอกได้ว่าเมื่อใดที่พลาดจนเกิดการระบาดของโรคอุบัติใหม่ครั้งใหญ่ขึ้น ผลเสียหายที่เกิดขึ้นกลับไปกู้ยากมาก"นพ.โรม กล่าว
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า ภายหลังจากได้รับตัวอย่าง เชื้อจากทีมนักระบาดวิทยา ศูนย์ได้พิจารณาว่าจะส่งตัวอย่างไปตรวจที่หน่วยงานใดบ้าง เพราะในการตรวจมีทั้งตรวจหาเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต และเชื้อรา จึงมีการจัดแบ่งตัวอย่างไปตรวจยังหน่วยงานต่างๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เป็นการเฉพาะ ก่อนแจ้งผล มายังศูนย์ ซึ่งแต่ละหน่วยงานต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่างมาก เพราะจะต้องตอบผลเบื้องต้นให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมงว่าพบเชื้อใดหรือไม่ โดยเฉพาะเชื้อโรคอุบัติใหม่
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมามีการติดตามไวรัสจากสัตว์ป่าโดยเฉพาะค้างคาวในประเทศไทยจากความร่วมมือ ของหน่วยงานต่างๆ ทำให้ทราบถึงสถานะพิเศษที่สัตว์ป่าสามารถเป็นตัวเพาะบ่มเชื้อโรค โดยไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่ออกมาในรูปของ สิ่งคัดหลั่ง เยี่ยว มูล หรือน้ำลาย โดยตรง หรือเกาะติดตามพื้นและผนังถ้ำ ขั้นตอนของการติดเชื้อจากสัตว์สู่คน จะต้องมีการสมยอมของคนในการรับเชื้อเข้าร่างกายก่อน จากนั้นกลไกจะนำไปสู่การเกิดอาการหรือไม่ อาการน้อยหรือรุนแรง และเกิดขึ้นจำเพาะที่ระบบเดียว เช่น สมอง ปอด ตับและในระบบเลือด หรือเกิดในหลายระบบพร้อมกัน เชื้อดังกล่าว เช่น ไวรัสตระกูล เมอร์ส ซาร์ส อีโบล่า นิปาห์ แบคทีเรีย และปรสิต ที่มาจากเห็บ ยุง ไร ริ้น กระบวนการเกิดโรคอาจปรากฏในลักษณะของเฉียบพลัน หรือทอดเวลายาวออกไปจึงจะเกิดอาการเนื่องจากมีการซ่อนเร้นอยู่ในระบบใดระบบหนึ่งของร่างกาย
ขณะที่ ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะ แพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การ เตรียมพร้อมในการรับมือโรคอุบัติใหม่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีการเตรียมการเฝ้าระวังจะทำให้ประชากรทั้งคนและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากการระบาดมีจำนวนมาก แต่หากมีการ เตรียมการจะส่งผลให้เกิดการวินิจฉัยและควบคุมโรคได้เร็ว ช่วย ลดขนาดการระบาดและจำนวนประชาชนที่ได้รับกระทบ
โรคที่พบจากสัตว์รังโรคในถ้ำ
1.ค้างคาว ซึ่งอาจเป็นแหล่ง รังโรคของเชื้อไวรัสชนิดต่าง ที่พบได้ ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไวรัสโคโรน่า และไวรัส นิปปาห์ ส่วนที่พบในแอฟริกา ได้แก่ ไวรัสมาร์เบอร์ก และไวรัส อีโบล่า ขณะที่มูลค้างคาวยังมีเชื้อรา ฮิสโตพลาสมา (Histoplasma) ที่ก่อให้เกิดโรคในคนได้
2.สัตว์ฟันแทะ เช่น หนู ซึ่งเป็นแหล่งรังโรคของเชื้อเลปโทสไปรา (Leptospira) สาเหตุของโรคฉี่หนูหรือเลปโตสไปโรซิส ส่วน หมัดหนู เป็นแหล่งโรคไทฟัส
3.แมลงต่างๆ ที่เป็นแมลงนำโรค เช่น ยุงก้นปล่องนำเชื้อมาลาเรีย ริ้นฝอยทราย นำเชื้อโรคลิสมาเนียซิส (Leishmaniasis) เป็นต้น
4.สิ่งแวดล้อม เช่น ดินหรือน้ำ ที่เป็นแหล่งโรคของแบคทีเรีย โปรโตซัว และเชื้อราต่างๆ เช่น เมลิออยโดสิส เป็นต้น