เมื่อความจริงโลกคือที่ทำงานของเรา
แนวคิดดีๆจาก happy workplace
ทุกวันนี้เราได้เห็นการตลาดหัวใส งัดเอากิจกรรมเพื่อสังคมมากมายเข้ามาตอบโจทย์ของการสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัท หรือองค์กรใหญ่ๆ เพื่อปูทางไปสู่เป้าหมายทางธุรกิจที่สดใส
กิจกรรมเหล่านี้มีมากขึ้นทุกวัน ๆ จนบางคนอาจจะเริ่มสับสนว่า การทำกิจกรรมเพื่อตอบแทนสู่สังคมนั้นเป็นแขนข้างหนึ่งของการเดินทางสู่องค์กรสร้างสุข หรือจะเป็นเพียงแค่การ “สร้างภาพ” เพื่อหวังผลทางธุรกิจเท่านั้น
อันที่จริงแล้ว กว่าจะก้าวเข้าสู่กระบวนการส่งต่อ “ความสุข” ไปให้กับชุมชนรอบข้างได้ องค์กรแห่งความสุข หรือ happy workplace ภายใต้แนวคิดของ สสส.คิดว่า น่าจะต้องสามารถสร้างความสุขใหกับ “คนใน” เสียก่อนและคนในเหล่านี้เองที่จะเป็นส่งมอบความสุขต่อไปให้กับชุมชนรอบข้าง
ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ ของสายการบินระดับโลก klm ที่ยืนยันว่าทุกกิจกรรมที่บริษัทนี้ได้ทำ เป็นผลมาจากแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นจากคนภายในองค์กรก่อนเสมอ
klm เริ่มต้นแบ่งปันความสุขให้กับสังคมด้วยการสร้างจิตสำนึกให้กับพนักงานภายใน การประหยัดพลังงานเป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมทั้งหมด เพราะทุกคนตระหนักดีว่า หากพลังงานหมดลง กิจกรรมการบินพาณิชย์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น พนักงานจึงรู้ดี การปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน และการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในสำนักงานทุกแห่งเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อช่วยอนุรักษ์พลังงานให้คงอยู่คูโลกใบนี้
ถัดจากเรื่องของพลังงาน ฝ่ายวิศวกรของบริษัทต้องทำงานร่วมกันเพื่อวางระบบการจัดการกับขยะต่างๆ ทีเกิดขึ้น โดยเริ่มต้นจากภายในองค์กรอีกเช่น นั่นคือการรีไซเคิลเศษกระดาษเหลือใช้จากระบบปฏิบัติงาน และสำนักงานทุกแห่งกระบวนการนี้ยังถูกเติมต่อด้วยการจัดแนวทางการกำจัดขยะที่เหลือใช้มาจากบนเครื่องบิน ซึ่งหากเรือไม่ได้เห็นภาพเราก็คงไม่เคยรู้ว่า ขยะจำพวกกล่อง และภาชนะใส่อาหารที่เกิดจากการปฏิบัติงานบนเที่ยวบินหลายร้อนเที่ยวต่อวัน ในกว่าร้อยจุดหมายปลายทางทั่วโลก และผู้โดยสารหลายล้านคนต่อเดือนซึ่ง รวมๆ กันแล้วราว 73 ล้านคนต่อปีนั้นมีมากมายมหาศาลขนาดไหน
ขยะเหล่านี้จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการคัดแยก และรีโซเคิล เพื่อให้โลกของเรามีปริมาณขยะที่เป็นพิษน้อยลง และนอกจากนั้น klm ยังเป็นสายการบินที่พยายามจำกัดปริมาณขยะด้วย การลดวัสดุที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม และใช้ถ้วยจาน กระดาษที่สามารถรีไซเคิล หรือกำจัดได้โดยไม่กอ่ให้เกิดมลภาวะ
ในขณะเดียวกัน มลภาวะทางเสียงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ประกอบการสายการบินส่วนใหญ่ยังคงมองข้าง
หากยังจำกัดได้เมื่อครั้งที่บ้านเราเปิดสนามบินแห่งชาติแห่งใหม่ๆ ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากมลภาวะทางเสียงมากมาย และสำหรับสายการบินอย่าง klm ผู้บริหารได้ตระหนักถึงเรื่องราวดังกล่าว ถึงกับมีการจัดอบรมกัปตันของเครื่องบิน และวิศวกรเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันในการลดมลภาวะทางเสียงจากการขึ้น ลง ของเครื่องบินในแต่ละครั้ง โดยต้องมีการปรับทั้งเทคนิคทางการบิน และนำเทคโนโลยีทางวิศซกรรมเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนเครื่องบินเพื่อลดเสียงดัง
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของการใส่ใจด้านสุขภาพ และความสะอาดเพื่อให้พนักงานบริการได้รับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการดูแลผู้โดยสารนอกจากนั้นพวกเขาเองก็จะได้รับการดูแลเรื่องสุขภาพตามนโยบายของบริษัทอย่างเคร่งครัด เพราะบริษัทเชื่อว่า หากคนภายในมีสุขภาพกาย และจิตใจที่ดีพวกเขาย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังทีจะทำงานอย่างเต็มที่
klm ยังมีโครงการ klm air cares ซึ่งเป็นกิจกรรมที่องค์กรได้เข้าไปหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับสังคมที่ด้อยโอกาสในหลายๆ มุมเมืองของโลกด้วยการบริจาคสิ่งของ และเงิน รวมทั้งจัดหาเครื่องอุปโภค บริโภคและเวชภัณฑ์ยา เข้าไปช่วยเหลือ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น
“โลกคือที่ทำงานของเรา” นี่คือสโลแกนของบริษัทแห่งนี้ นั่นหมายความถึง ทุกเส้นทางการบินรอบโลก คือบ้านของ klm ดังนั้น บริษัทจึงวางเป้าหมายในการทำงานส่วนหนึ่งเพื่อช่วยอนุรักษ์โลกสวยเอาไว้
klm หรือ royal dutch airlines จึงเป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศเล็กๆ ทีมีนโยบายที่ชัดเจนในด้านของการสร้าง happy society ที่แตกต่าง และน่าสนใจที่องค์กรในบ้านเราน่าจะนำไปปรับใช้กันได้ไม่ยากเลย
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
update: 26-01-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร