อ้วนเถิด..จะเกิดโรค(หวัด 2009)

บอกลา ฟาสต์ฟู้ด ตัวการทำพุงป่อง

 

 อ้วนเถิด..จะเกิดโรค(หวัด 2009)

          นอกจาก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ สวมผ้าปิดปาก วิธีสู้กับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ชะงัดอีกอย่าง คือ บอกลาโรคอ้วน ตัวป่วนที่มากับฟาสต์ฟู้ด

 

          โดยไม่ต้องจ้ำชี้จ้ำไช…รู้กันอยู่แล้วว่า อาหารจานด่วนหรือฟาสต์ฟู้ดนั้น กินมากๆ “อ้วน” เช่นเดียวกับที่รู้กันอยู่แล้วว่า “ภาวะอ้วน” เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิตได้

 

          หรือบางคนอาจรู้มาว่า ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น อาจกำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” และมีความเป็นไปได้ว่ากำลังเดินตามรอย ไข้หวัดสเปน (1918) ซึ่งขณะนั้นเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่และระบาดรวดเร็วเหมือนกัน โดยระลอกแรกมีผู้เสียชีวิตไปร้อยละ 5 จากนั้นทิ้งช่วงไป 2 เดือนถึง 1 ปี ก่อนจะเข้าสู่ช่วง “ขาขึ้น” คราวนั้นพรากคนเป็นๆ ไปถึง 60 – 80 เปอร์เซ็นต์

 

          ถ้าจำกันได้ เมื่อปลายเดือนที่แล้ว องค์การอนามัยโลกออกมาเผยว่า การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลกในขณะนี้ยังอยู่ในระยะเริ่มแรก…

 

          และต้นเดือนที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข แถลงว่าสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ฯ มีแนวโน้มชะลอตัว ภายใน 1 สัปดาห์มีผู้เสียชีวิตเพียง 16 ราย และส่วนใหญ่ยังคงเป็นคนอ้วนและมีโรคประจำตัว

 

          “ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า สาเหตุของโรคอ้วน นอกจากพฤติกรรมขาดการออกกำลังกายแล้วอาหารก็เป็นสาเหตุสำคัญ โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน น้ำตาลและเกลือสูง ซึ่งพบในขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม และอาหารขยะ”

 

          เอื้อเฟื้อข้อมูลจาก รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่เข้าร่วมประชุม “การเสริมความเข้มแข็งขององค์กรภาคีในการบูรณาการการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ” ขององค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

          อาจพอสรุปได้ว่าต้นทางของ ไข้หวัดใหญ่ 2009 คือ โรคอ้วน แล้วต้นทางของโรคอ้วน ส่วนหนึ่งมาจากอาหารขยะ แล้วต้นทางของอาหารขยะล่ะ มาจากไหน…ถ้าไม่ใช่ (ตามใจปาก) ตัวเอง

 

          ฟาสต์ฟู้ดมาเนีย

 

          อาการแพ้ “ชุดสุดคุ้ม (Supersize)” อาจเป็นกับบางคน แต่สำหรับผู้ชายในแวดวงไอทีอย่าง ชัยยศ (สงวนนามสกุล) บอกเหตุผลสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “กินตามลูก”

 

          7 ปีก่อนด้วยวัยสามสิบปลายๆ ลูกสาวตอนนั้นกำลังน่ารัก และก็เป็นธรรมดาที่เด็กวัยสี่ห้าขวบอยากกิน “ไก่ทอด” กรอบๆ นุ่มๆ ที่บ้านก็พาไปห้างสรรพสินค้าอยู่แล้วสัปดาห์ละ 1 ครั้ง คนเป็นพ่อเองเห็นว่าในร้านผู้พันหนวดขาวมีของเล่น สั่งอาหารทีไม่ต้องรอนาน และที่บ้านไม่ค่อยทำกับข้าวกินเอง จึงเป็นที่มาของ “เมนูประจำ”

 

          “คนละชุดครับ ไก่คนละ 2 ชิ้น อร่อยเพราะเขาปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นคนไทย” พ่อแม่ลูกกินติดต่อกันแบบนี้ 6 ปี อาทิตย์ละประมาณ 2 ครั้ง

 

          ทำให้ผู้ชายร่างสูง 168 ซม. ที่เคยหนัก 68 กก. เขยิบไปเป็น 80 กก.เศษ ภายใน 3 – 4 ปี สถิติสูงสุดอยู่ที่ 93 กก. ชัยยศออกตัวว่าไม่ถึงกับชอบ แต่เพราะเล่นเวทเป็นประจำ ยิ่งเล่นจึงต้องยิ่งกินเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ควบคู่ไปกับการเป็นสิงห์อมควัน

 

          “เมื่อนิโคตินเข้าไปในกระแสเลือด จะจับไขมันที่อิ่มตัวได้ง่าย ทำให้หลอดเลือดตีบ ความดันสูง บวกกับนิสัยไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพ ประมาท ชอบอะไรง่ายๆ สะดวกๆ ฟาสต์ฟู้ดเลยเข้าทาง” นานๆ ชัยยศถึงจะเดินตลาดสักครั้ง แต่กับห้าง…นับไม่ถ้วน เป็นแฟนคลับไก่ทอดอย่างเหนียวแน่นเช่นนี้ คุณพ่อลูกหนึ่งจึงได้ของของฟรีมาเพียบ

 

          “แน่นหน้าอก เหนื่อยๆ จุกตรงลิ้นปี่ แต่ไม่เกิน 1 นาทีก็หาย เลยหยุดออกกำลังกาย น้ำหนักเลยขึ้นพรวด แต่ยังกินปกติ อาการเลยแย่ลงเรื่อยๆ”

 

          จนวันนั้น…ลอยกระทง พ.ศ.2549 ที่น้ำตกกระทิง เขาคิชกูด

 

          “ไปถ่ายรูปนก เดินไปถึงชั้น 4 เหนื่อยมาก (ลากเสียงยาว) นั่งพัก 20 นาทีไม่หาย จุกตรงลิ้นปี่ เลยเดินกลับลงมา กินน้ำก็ไม่หาย จน 2 ชั่วโมงผ่านไป ก็ยังเหนื่อย มือขาชา เลือดไปไม่ถึงปลายประสาทแล้ว หายใจไม่ค่อยออก ต้องเรียกรถพยาบาล แต่กลับได้รถปอเต๊กตึ๊งไปส่ง” คนเล่าไม่วายหยอดมุข

 

          หนักหนาถึงขนาดต้องปั๊มหัวใจ แต่ในใจตอนนั้นคิดไปไกลแล้วว่า “คงทำบุญมาแค่นี้ ไม่รอดแน่ๆ” เมื่อถึงมือหมอ ชัยยศมีโอกาสลืมตาตื่นในเช้าวันถัดมาแต่ก็มีอาการน้ำท่วมปอดจากการดื่มน้ำเข้าไปมาก

 

          “หมอบอกว่า 10 คนจะรอดซัก 2 คน” โชคดีที่ชัยยศเป็นหนึ่งในนั้น แต่ชัยยศก็ต้องผ่านการทำบอลลูน ขยายหลอดเลือด ซึ่งทางกายภาพ หลอดเลือดของเขายังตีบอยู่ และถ้ายังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม หลอดเลือดที่ตีบอยู่แล้วก็จะตีบลงไปอีก

 

          ชีวิตหลังวิกฤติจึงต้องเปลี่ยนใหม่หมด เพราะหมอบอกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่พฤติกรรมการกิน เน้นไปที่ “อาหารคุณภาพดี” และอีกครึ่งคือ การออกกำลังกาย

 

          จากวันนั้น ไม่มีใครได้เห็นชัยยศในร้านอาหารจานด่วนอีก ยกเว้นไปนั่งเป็นเพื่อนลูกในความถี่ชนิดนานๆ ที ห้างที่เคยตบทรัพย์ได้ทุกอาทิตย์ ก็ต้องแห้วเพราะเจ้าตัวเบนเข็มไปตลาดนัดแทน ลด ละ เลิกของผัด ของทอด แล้วหันมาเป็นสาวกแกงป่า แกงเลียง แกงส้ม และน้ำพริก แต่ส่วนใหญ่จะซื้อมาทำกินเองที่บ้าน ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบไม่หักโหม

 

          …ส่วนของเคยโปรด “ไม่กล้าแล้ว ผมถือว่าถูกหวยไปแล้ว” เขาหมายถึงชีวิตที่รอดมาได้จนถึงวัย 43 …และตระหนักเสมอว่า อ้วนป่วน (หลาย) โรค

 

 

 

 

 

ที่มา: สำนักข่าวเนชั่น

 

 

Update 18-08-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

 

 

อ่านเนื้อหาทั้งหมดในคอลัมน์คลิกที่นี่

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code