อย่าปล่อยลูกอยู่กับ พี่เลี้ยงยูทูบ
ที่มา : เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจาก เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
"ยูทูบ" เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ในการเรียนรู้ของเด็กยุคใหม่ โดยคลิปที่ เด็กนิยมมากที่สุด อันดับ 1 เป็นแคสเกม และคลิปเกมกว่า 27% ถัดมาคือ การ์ตูน 20% ฟังเพลง 14.3% และวาไรตี้ 9% รวมถึงสารคดี เกมโชว์ รีวิว กีฬา และ อื่นๆ ผลการวิจัย "ยุวชนนิเวศน์ของประชากรเจเนอเรชันซี-อัลฟ่าในประเทศไทย (Child Ecology of Thai Generation Z-Alpha)" ระบุ
ด้าน ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ของสสส. พบว่า พัฒนาการด้านภาษาล่าช้าในกลุ่มเด็กปฐมวัยเป็นปัญหาที่เริ่มขยายวงกว้าง ข้อมูลจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ระบุว่าครอบครัวในยุคนี้ให้เด็กใช้สื่อดิจิทัลตั้งแต่อายุน้อยเพราะคิดว่า เป็นเรื่องที่ดี เด็กมักจะดูรายการต่าง ๆ ทางช่องยูทูบและพูดเป็นภาษายูทูบแต่ ไม่สามารถสื่อสารกับครูและเพื่อนได้อย่างเข้าใจ และมักมีปัญหาสมาธิสั้น
"ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะสมอง ซึ่งวัยแรกเกิดถึงสามขวบเป็นช่วงที่สมองมีการพัฒนาสูงสุด สหรัฐอเมริกามีไกด์ไลน์เป็นแนวปฏิบัติเกี่ยวกับจอใสทุกประเภท เด็กไม่ถึง 2 ขวบ พ่อแม่ต้องดูแลไม่ให้เด็กเล่นโทรศัพท์มือถือ และเด็ก 2 ขวบเล่นมือถือได้ไม่เกิน 15 นาที ให้เพียงการสัมผัส สิ่งสำคัญคือควรเน้นให้เด็กดูหนังสือภาพ การอ่านหรือเล่าหนังสือนิทานให้ฟัง การเล่นอย่างอิสระ เป็นต้น"
สุดใจ พรหมเกิด ผู้อำนวยการโครงการหนังสือ 'ฝึกอ่าน' ตามระดับ ชุด 'อ่าน อาน อ๊าน' และผู้จัดการแผนงาน สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวว่า การแก้ไขวิกฤติพัฒนาการด้านภาษาที่ล่าช้าในเด็กปฐมวัยของไทย โดยเฉพาะเด็กอายุ 2-3 ปี ยังพูดและสื่อสารไม่ได้ ต้องใช้ยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อสร้างปัจจัยบวกด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คนในชุมชนและสังคมเข้าถึงสุขภาวะ โดยเน้นไปที่กลุ่มปฐมวัยเพื่อให้คนที่เลี้ยงดูเด็กเข้าใจกระบวนการอ่านเพื่อพัฒนาเด็ก เช่น แนะนำให้คุณครูและแกนนำชุมชนอ่านหนังสือให้เด็กฟัง โดยออกเสียงซ้ำๆ เหมือนเป็นการย้ำร่องรอยการจดจำชุดคำ และพัฒนาต่อเนื่องจากการอ่าน โดยมีหนังสือเป็นเส้นกลางบูรณาการกับชีวิตประจำวัน
"การอ่านออกเสียงให้เด็กฟังแล้วค่อยๆ ชี้ตามตัวอักษรให้เด็กเห็น ใช้เวลา ไม่นานก็พัฒนาทักษะเขาได้ เราเชียร์ให้ แม่ทำเรื่องนี้ตั้งแต่อยู่ในท้อง เสียงที่ นุ่มนวล อ่อนโยนของแม่ เด็กได้ยินแล้วจะเข้าถึงหนังสือได้ง่าย ไม่ต้องใช้เวลามาก แค่อ่านออกเสียงให้ฟัง อุ้ม กอดลูก วันละ 10-15 นาที" สุดใจ กล่าว
เมื่อการอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง แก้ปัญหาพัฒนาการภาษาช้า สสส. คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักพิมพ์ bookscape จึงจัดกิจกรรม Read-Aloud Workshop : พลังแห่ง การอ่านออกเสียง ในโครงการขับเคลื่อนความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาวะเด็กและครอบครัว และการพัฒนาศักยภาพเยาวชน พร้อมเปิดตัวหนังสือ "Jim Trelease's Read-Aloud Handbook" (8 th Edition) ฉบับภาษาไทย หนังสือสุดคลาสสิกที่ว่าด้วยการอ่านออกเสียงให้เด็กซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก
พ.ญ.ปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี กุมารแพทย์ สาขาโรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤติในเด็ก เจ้าของเพจ 'หมอแพมชวนอ่าน' กล่าวเสริมว่า "การอ่านหนังสือเป็นเหมือนเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์ เป็นสื่ออย่างหนึ่ง ทำได้ทุกเวลาที่เราสะดวก แต่อย่างน้อยที่สุด ต้องมีเวลาที่สม่ำเสมอทุกวัน เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตร เวลาอ่านออกเสียงพ่อแม่ไม่ต้องคาดหวังว่าลูกจะนอนฟังนั่งนิ่ง เพราะเด็กต้องเป็นไปตามพัฒนาการ ค่อย ๆ สั่งสมทักษะ ดังนั้น ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี
โดยในช่วงแรกเกิด ถึง 3 เดือน สายตาของเด็กยังไม่โฟกัส แต่ทักษะที่เด่นมากคือการฟัง การอ่านออกเสียงทำให้เด็กได้เรียนรู้เสียงแม่ รู้จังหวะภาษา ซึ่งแม่จะเลือกหนังสืออะไรหรือภาษาใดก็ได้ที่ตนเองชื่นชอบ ในช่วงที่เด็กอายุ 4-6 เดือน สายตาของเด็ก เริ่มมองเห็นชัดขึ้น คอเริ่มแข็งและ ชอบจับของเข้าปาก หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ต้องเป็นภาพที่มีสีสัน มีขนาดใหญ่ อาจจะเป็นบอร์ดบุ๊ค หรือหนังสือผ้าที่มีคำบรรยายสั้น ๆ
หมวดแรกที่เด็กมักสนใจคือสัตว์ ซึ่งกระตุ้นความสนใจได้ดี และแม่ต้องอ่านหนังสือออกเสียงและชี้ตามตัวอักษร ให้เด็กกวาดตาตามจากซ้ายไปขวา พร้อมกับการฟัง เป็นการเก็บข้อมูล และคลังภาษาของเด็ก จากนั้นจะเป็นไปตามพัฒนาการ โดยเด็ก 1-2 ขวบจะเริ่มมีความสนใจพิเศษ ช่วงนี้เด็กจะขอร้องให้พ่อแม่อ่านหนังสือเรื่องเดิมให้ฟังซ้ำ ๆ มากกว่าหนึ่งรอบเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ดังนั้น พ่อแม่หรือคนที่อ่านหนังสือให้เด็กฟัง ต้องไม่เบื่อที่จะอ่าน" พ.ญ.ปุษยบรรพ์ กล่าว