สานพลังประชารัฐ สร้างงานคนพิการ

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดย พรประไพ เสือเขียว


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


สานพลังประชารัฐ สร้างงานคนพิการ  thaihealth


ตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ระบุไว้ในกฎกระทรวงข้อที่ 3 ให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป รับคนพิการที่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าอยู่ตำแหน่งใดในอัตราส่วนลูกจ้างที่มิใช่คนพิการทุก 100 คนต่อคนพิการ 1 คน และในกฎกระทรวงข้อที่ 5 นายจ้างหรือสถานประกอบการผู้ใดที่มิได้รับคนพิการเข้าทำงานตามที่กำหนดในข้อ 3 และมิได้ดำเนินการตามมาตรา 35 ให้ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคนพิการเป็นรายปี โดยคำนวณจากอัตราต่ำสุดของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ


แม้จะมีกฎหมายเพื่อช่วยให้ผู้พิการมีงานทำ ที่ผ่านมาผู้พิการไม่สามารถเข้าสู่ระบบการทำงานได้จากปัญหาเรื่องการเดินทางไปทำงาน งานที่มีอยู่ในตลาดแรงงานไม่เอื้อต่อคนพิการ ในสถานที่ทำงานยังไม่มีระบบอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการ เป็นต้น


ทั้งนี้จากข้อมูลของกรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2559 พบว่า คนพิการวัยแรงงานมีจำนวน 748,941 คน แบ่งเป็นสัดส่วนคนพิการที่ประกอบอาชีพแล้ว 213,896 คน คนพิการที่สามารถประกอบอาชีพได้ที่ยังไม่ได้ทำงานมีจำนวน 397,800 คน คิดเป็นร้อยละ 53.11 ของคนพิการวัยแรงงานทั้งหมด ส่วนคนพิการที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้เนื่องจากพิการมาก/ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีจำนวน 137,245 คน ซึ่งตามกฎหมายได้กำหนดให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปต้องรับคนพิการเข้าทำงานในอัตราส่วนลูกจ้างต่อคนพิการ คือ 100 : 1 ทำให้จำนวนคนพิการที่สถานประกอบการต้องจ้าง มีจำนวน 55,283 ตำแหน่ง ในขณะที่สถานประกอบการสามารถจ้างสานพลังประชารัฐ สร้างงานคนพิการ  thaihealthงานคนพิการได้เพียง 34,383 ตำแหน่ง คิดเป็นร้อยละ 48 เท่านั้น ขณะที่ปี 2558 มีเงินส่งเข้ากองทุนฯ กว่า 2 พันล้านบาท


จะเห็นได้ว่ายังมีผู้พิการจำนวนมากที่ยังไม่มีงานทำ ช่องว่างการทำงานของผู้พิการยังมีอยู่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเดินหน้าเพื่อให้ การทำงานของผู้พิการให้คนพิการมีอาชีพ มีงานทำเต็มตามศักยภาพ


ล่าสุดกระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกันประกาศความร่วมมือ สานพลังประชารัฐ สร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ 10,000 ตำแหน่งระหว่างปี 2559-2560


หม่อมหลวง ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน พร้อมอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจในการปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงาน ตามมาตรา 33 และมาตรา 35 สถานประกอบการสามารถส่งเสริมให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้รับสัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จ้างเหมาบริการหรือจำหน่ายสินค้า ฝึกงาน ปรับสภาพแวดล้อมหรืออุปกรณ์เพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ จัดบริการล่ามภาษามือ


ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. โดยแผนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ ได้สนับสนุนแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแบบครบวงจรโดย สสส.สนับสนุนโครงการนำร่องการจ้างงานคนพิการ จากปี 2558 มีบริษัทที่นำร่อง 20 บริษัท เกิดการจ้างงานและขยายโอกาสการจ้างงานและส่งเสริมอาชีพคนพิการเพิ่มเป็นจำนวน 1,277 คน ซึ่งกระจายการปฏิบัติงานอยู่ทุกภาคของประเทศ


นายอภิชาติ การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า จากการดำเนินแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแบบครบวงจร  : สุขภาวะจากการทำงาน ในปี 2559 มีการจ้างงานคนพิการแบ่งเป็น การจ้างตามมาตรา 33 จำนวน 718 คน และสนับสนุนโครงการส่งเสริมอาชีพตามมาตรา 35 จำนวน 559 คน ทางโครงการฯ สามารถจัดหางานที่เหมาะสมให้กับคนพิการได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เช่น ให้คนพิการทำงานงานช่วยสอนหนังสือในโรงเรียน ทำงานใน โรงพยาบาล ทำงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำงานพัฒนาชุมชนร่วมกับทีมพัฒนาชุมชนของบริษัท ฯลฯ


รูปแบบของการจ้างงานคนพิการมีความหลากหลายมากขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางไปทำงานในบริษัทแต่สามารถทำงานในสานพลังประชารัฐ สร้างงานคนพิการ  thaihealthชุมชนได้โดยเฉพาะงานเกษตรกรรม ที่ฟังดูแล้วผู้พิการอาจจะเข้าถึงยาก


น.อ.ภราดร คุ้มทรัพย์ ในฐานะผู้พิการที่ริเริ่มโครงการทำเกษตรที่เหมาะสมและมีคุณค่าต่อผู้พิการ จ.นครราชสีมา เล่าว่า ได้รับทุนสนับสนุนตามมาตรา 35 จากธนาคารกสิกรไทยและบริษัท นครหลวงค้าข้าว ตอนนี้มีผู้พิการเข้าร่วมกลุ่มเพาะเห็ด ปลูกเมล่อนในโรงเรือน เลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์จำนวน 6 คน ซึ่งในระยะ 2-3 เดือนผลผลิตเมล่อนจะเก็บขายได้


"เนื่องจากคนพิการที่ค่อนข้างมีความพิการรุนแรงเพราะฉะนั้นโอกาสเข้ามาทำเกษตรจริงจังเขาจะกังวลแต่ถ้าเรามีนวัตกรรมเช่นมีโรงเรือนกรีนเฮาส์ มีทางลาดสำหรับรถเข็น มีรถเข็นที่ยืนได้ผสมเกสร ตัดแต่งต้นไม้และมีการตลาดที่มีเครือข่ายที่ดี  เชื่อว่าจะสามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้" น.อ.ภราดรบอกเล่าแนวคิด พร้อมบอกว่าจะสานต่อแนวคิดนี้สู่ชุมชนให้คนในชุมชนเข้ามาร่วมในการสร้างนวัตกรรมให้คนพิการมีอุปกรณ์เพื่อการทำเกษตร นอกจากนี้รายได้ของผลผลิตที่มาจากแรงงานผู้พิการส่วนหนึ่งจะแบ่งปันให้เป็นทุนการศึกษากับเด็ก ๆ ในชุมชนต่อไป และตั้งเป้าว่าในอนาคตจะให้ที่นี่เป็นศูนย์ความรู้ด้านเกษตรกรรมให้กับผู้พิการต่อไป


ด้วยพลังสามประสานจากสามหน่วยงานจะได้เห็นการจ้างงานคนพิการที่เป็นธรรมและมีความหลากหลายมากขึ้น.

Shares:
QR Code :
QR Code