สภาสตรีฯ หนุนหญิงเรียนวิทย์ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงงานที่ดี
สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมฉลอง “วันสตรีสากล”8 มีนาคม 2554 จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง “ส่งเสริมความเสมอภาคหญิง-ชายในการเข้าถึงทางด้านการศึกษา การอบรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแนวทางให้สตรีได้มีโอกาสเข้าถึงงานที่ดีในอนาคต” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
งานสัมมนาดังกล่าว มี ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยานายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน แต่เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพไม่สามารถมาร่วมงานได้ จึงได้มอบหมายให้ นางนภาเพ็ญ เวชชาชีวะเป็นผู้แทนอ่านคำกล่าวเปิดงาน ซึ่งมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า”วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยสร้างระดับการทำงานให้กับผู้หญิงและผู้ชาย โดยช่วยให้ทำงานได้เต็มศักยภาพที่มีอยู่ แม้ว่าจะมีอุปสรรคด้านระยะทาง ร่างกายและเวลาก็ตาม ยิ่งกว่านั้นยังช่วยวางแนวทางการตัดสินใจให้กับเรื่องของตนเองและอาชีพการงานที่ดียิ่งขึ้น และด้วยการแพทย์ที่ดีขึ้น และการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ง่ายขึ้น ผู้หญิงที่แข็งแรงจะสร้างผลผลิตที่ดีกว่าในอาชีพของตน ด้วยการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี ผู้หญิงสามารถสร้างสรรค์และสร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรในท้องถิ่นให้กับธุรกิจของตนได้
การสร้างความเข้มแข็งด้านความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศในยุคโลกาภิวัตน์นี้เป็นเรื่องท้าทาย แต่สิ่งที่จะทำให้ประสบผลได้ จะต้องมีเครื่องมือช่วย ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและคุณภาพของครู การสร้างแรงงานที่พูดได้หลายๆ ภาษา เพิ่มการลงทุนทั้งในภาครัฐและเอกชน ด้านการวิจัยและพัฒนา เพิ่มต้นแบบแห่งความสำเร็จเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันทำงานในลักษณะของการเป็นหุ้นส่วนมากขึ้น”
ด้าน คุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน อังอุบลกุล ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ กล่าวว่า ผู้หญิงต้องได้รับการส่งเสริมทางด้านการศึกษาการอบรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้ทันสมัย และสามารถมีบทบาทที่สำคัญในทุกระดับ โดยใช้การศึกษา การอบรม เพราะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเครื่องมือของผู้หญิงในการสร้างบูรณาการทั้ง 3 ด้านคือ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แต่ก่อนอื่นต้องได้รับการดูแลด้านสุขภาพและมีครอบครัวที่อบอุ่น จึงจะบรรลุเป้าหมาย พลังของผู้หญิงด้วยสองมือสามารถสร้างความแตกต่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ เพราะความก้าวหน้าของสตรีคือ ความก้าวหน้าของโลก
จากนั้นเป็นการเสวนาเรื่อง “ส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชายในการเข้าถึงทางด้านการศึกษาการอบรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแนวทางให้สตรีได้มีโอกาสเข้าถึงงานที่ดีในอนาคต” โดยมีสตรีผู้นำหลากหลายวงการร่วมแสดงความคิดเห็นนำโดย ฯพณฯ คริสตี้ เคนนี่ย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย นางฮูวัยดียะห์ พิศสุวรรณ อุเซ็ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการและ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมี ดร.ชนม์ชนก วีรวรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการ
เริ่มจาก ฯพณฯ คริสตี้ เคนนี่ย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันผู้หญิงในอเมริกาเรียนจบปริญญาเอกและปริญญาโทได้มากกว่าผู้ชาย แต่การเข้าถึงการศึกษาไม่ได้หมายถึงการที่จะได้งานทำที่ดี แต่จะต้องทำงานให้มีผลงานที่ดี ซึ่งผลจากการศึกษาและเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนแปลงคนให้นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้า สร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง ดังนั้น จึงต้องส่งเสริมให้ผู้หญิงมีการเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและไทย มีภาคีเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความรู้และวิชาชีพซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างกัน เช่น อาจารย์ในมหาวิทยาลัยของอเมริกากับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไทย นักธุรกิจชาวอเมริกันและชาวไทย เป็นต้นนอกจากนี้ เราต้องสนับสนุนการให้การศึกษา การอบรมแก่ผู้อพยพที่เป็นหญิง หรือหญิงที่ตกเป็นเหยื่อของการค้าประเวณี ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถประกอบอาชีพที่ช่วยเหลือตนเองได้
นางฮูวัยดียะห์ พิศสุวรรณ อุเซ็ง เลขานุการรัฐมนตรี พม.ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันผู้หญิงในภาคการทำงานมีจำนวนน้อยกว่ามีผู้หญิงเพียง 36% ที่ทำงานในงานที่มีรายได้สูง และมี 27% ที่ทำงานในส่วนของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ในภาครัฐได้มีการดำเนินนโยบายแต่งตั้ง CGEO (Chief Gender Equality Officer) ในทุกหน่วยงาน และมีนโยบายที่ส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาคระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ดังนั้น จึงควรผลักดันนโยบายส่งเสริม CGEO ต่อไป และทำการวิจัยเกี่ยวกับผู้หญิงให้มากขึ้นเพื่อลดอคติทางเพศ นอกจากนี้ ยังมีพระราชบัญญัติส่งเสริมความเสมอภาคที่จะช่วยให้เกิดการปฏิบัติสู่ความเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณอยุธยา อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า ปัจจุบันผู้หญิงเรียนระดับสูงกว่าผู้ชายและเข้าไปทำงานในอาชีพที่มีผู้ชายทำมากขึ้น เช่น 24% ทำงานด้านกฎหมายเป็นต้น แต่ในส่วนที่ต้องส่งเสริมมากขึ้นคือการให้การศึกษาแก่ผู้หญิงในอายุ 30 ปี ขึ้นไปเพราะมีเพียง 8% ที่สามารถเข้าถึงการใช้อินเตอร์เนต เราจึงเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้าถึงการศึกษาและเทคโนโลยีเพื่อให้ได้งาน แต่ทั้งนี้ การที่จะพัฒนาเด็กให้เป็นคนที่ดีได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับครูอาจารย์เป็นหลัก แต่สังคมต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก และเราต้องส่งเสริมแนวคิดที่ว่า “ต้องเป็นช้างเดินถอยหลัง” เพื่อให้ผู้หญิงได้เป็นผู้นำบ้าง
ปิดท้ายด้วย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึง นโยบายเรียนฟรี 15 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เพราะในอดีตผู้หญิงเรียนถึงแค่ม.3 ก็หยุดเรียนแล้ว จึงควรส่งเสริมการดำเนินนโยบายดังกล่าวเพื่อให้คนเรียนให้จบ และต้องส่งเสริมให้ผู้หญิงเรียนในสายวิทยาศาสตร์มากขึ้น และเพิ่มเงินเดือนให้แก่ผู้ทำงานในทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเพราะองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หากคนไทยจะตามเทคโนโลยีให้ทัน จะต้องผลักดันให้เป็นนักวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยดึงผู้หญิงมาเข้าเรียนสายวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น ปัจจุบันอุตสาหกรรมของประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก จึงควรผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ต้องใช้คนที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าไปทำงาน โดยพัฒนาอุตสาหกรรมให้สร้างงานและนำคนเข้าทำงานไปได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า