วิถีชีวิตเกื้อกูล สร้างพลังคนทำงาน

/data/content/26872/cms/e_cdefinpsy348.jpg


          ในสังคมที่มากด้วยสิ่งเร้า การมี "สติ" เปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันของชีวิต


          แต่การจะมีสติและรู้เท่าทันตนเองได้ จำเป็นต้องใส่เจตนา และความเอาใจใส่ในการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะการพัฒนา สติเป็นการบ่มเพาะและฝึกฝนจิตให้เท่าทันความคิดและความรู้สึกของตนเองอยู่เสมอ


          นายธรรมนนท์ กิจติเวชกุล ผอ.สถาบันบ่มเพาะจิตสู่การแปรเปลี่ยนสังคม ซึ่งนำหลักการภาวนามาผสานกับการทำงานในชีวิตเพื่อสร้างพลังแก่คนทำงานให้ส่วนรวม ในชื่อชุดโครงการ "ภาวนาคือชีวิต วิถีชีวิตที่เกื้อกูลต่อชุมชนและสังคม" ร่วมกับสำนัก งานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


          นายธรรมนนท์กล่าวว่า การภาวนาไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในวัด โครงการเราเน้นภาวนาทั้งในรูปแบบ และนอกรูปแบบ การภาวนา ในรูปแบบเน้นการเจริญสติตามแนวทาง หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ คือการใส่ใจการเคลื่อนไหวกาย และรับรู้อารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้น ส่วนการภาวนานอกรูปแบบคือการรับรู้อารมณ์ความรู้สึก ความคิดผ่านงานศิลปะ การเคลื่อนไหว และการทำการงานในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เพราะสติที่เติบโตขึ้น จะเป็นพลังภายใน ไม่ทำให้บุคคลไหลไป/data/content/26872/cms/e_bgilmnpx3467.jpgตามกระแสบริโภคนิยม รับมือกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคมได้มากขึ้น


          การภาวนา คือ การพัฒนาจิตให้มีความเท่าทันอารมณ์ของตัวเอง สู่ความสามารถในการรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความฟุ้งซ่าน ความสับสน การภาวนายังหมายถึงการบ่มเพาะจิตที่เปิดกว้าง ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์กับธรรม ชาติ เราเชื่อว่าการภาวนาคือการสั่งสมปัญญาที่นำไปสู่การสร้างสุขของชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริงในทุกมิติ


          จากหลักสร้างปัญญาผ่านงานภาวนา ไปสู่การสร้างสุขในชุมชนจึงมีการกระจายไปในหลากหลายรูปแบบกิจกรรม เปรียบเสมือนการถอดสมการแนวคิดสู่การปฏิบัติจริง


          ตัวอย่างจากกิจกรรมภายใต้โครงการย่อย "พลังแห่งการรู้จักตัวตน สู่ชุมชนแห่งความกรุณาและมีความสุข" ซึ่งกลุ่มเจ้าหน้าที่ใน โรงพยาบาลโนนคูณ จ.ศรีสะเกษ ได้ขับเคลื่อน ร่วมกัน


          นางพนิดา สารกอง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลโนนคูณ เล่าว่า ได้ผสานการภาวนากับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานใน โรงพยาบาล โดยมีจุดมุ่งหมายให้บุคลากรนำแนวทางปฏิบัติภาวนามาพัฒนาตนเองรู้ถึงจิตใจ อารมณ์ และความคิด โดยเฉพาะรับมือกับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เช่น การสื่อสารกับผู้เข้ารับการรักษาที่อาจมีมุมมองต่างกัน ซึ่งบ่อยครั้งอาจกลายเป็นความไม่พอใจระหว่างกัน แต่ผลของการภาวนาในเบื้องต้นทำให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตัวเอง คิดถึงความรู้สึกความต้องการของผู้เข้ารับการรักษาได้มากขึ้น และเห็นคุณค่าในงานที่ตัวเองทำมากขึ้นนอกจากนั้นเจ้าหน้าที่เรายังมีจิตใจที่เปิดกว้างมากขึ้นโดยบางกลุ่มงานเริ่มมีการสะท้อนปัญหา/data/content/26872/cms/e_cdfhkmosuvz3.pngหรือสื่อสารกันภายในกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อกัน


          "ผลที่ได้จากกิจกรรมนี้ได้สร้างความ ภาคภูมิใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน สร้างบรรยากาศการทำ งานที่มีความสุข ที่สำคัญคือการพูดคุยกันด้วยสติระหว่างบุคลากรด้วยกัน ทำ ให้เข้าใจกันมากขึ้น เช่น บางคนอาจรู้สึกเหนื่อย ผิดหวัง ท้อใจ แต่เมื่อนิ่ง ทบทวน ทำให้รู้ว่านั่นเป็นความรู้สึกชั่วครู่ และเกิดจากความต้องการที่จะให้ผู้อื่นเห็นคุณค่าและยอมรับในสิ่งที่ทำนำไปสู่การให้กำลังใจกัน" นางพนิดาอธิบายถึงผลลัพธ์ที่ได้


          พระมหาราเชน สุทธจิตโต ซึ่งร่วมร่างหลักสูตร "ภาวนา…สู่จิตอันควรแก่งาน" กล่าวย้ำว่า การภาวนามิได้จำกัดแค่การนั่งนิ่งๆ หรือต้องปฏิบัติที่วัดเท่านั้น แต่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับในทุกๆ อิริยาบถในชีวิตประจำวันได้ การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ซึ่งเน้นที่การมีสติรับรู้ รู้สึก ถึงการเคลื่อนการไหวของ กายเป็นหลัก สามารถ ใช้กับชีวิตประจำวันได้ง่าย ทำให้ผู้ปฏิบัติ มีสติ เท่าทันความคิด ความรู้สึก เท่าทันอารมณ์ ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาในชีวิต ณ ปัจจุบันขณะได้มากขึ้น


          นั่นเพราะภาวนาคือชีวิต และการพัฒนาสติต้องควบคู่กับการฝึกฝนปฏิบัติใน ชีวิตจริง


          


 


          ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด


          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code